วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

นิทาน ลากับวัว

ลากับวัว เป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งเจ้าวัวมันก็บ่นกับเจ้าลาว่า "ข้าโดนเจ้านายให้ลากเกวียนไถ่นาทั้งวัน
เหนื่อยจริง ๆ ... " เจ้าลาเลยบอกเจ้าวัวว่า "เจ้าก็แกล้งป่วยสิเจ้านายจะได้ไม่ใช้งานหนัก"

วันต่อมาเจ้าวัวแกล้งป่วย เจ้าของเลยจำเป็นต้องให้ เจ้าลา มาลากเกวียนแทน เจ้าลาที่เคยแต่ขนของ
เบา ๆ เลยต้องเจ็บตัวหนักเพราะเกวียนทั้งหนัก ทำตัวมันเป็นแผลและถูกเคี้ยนตีสารพัด

ตกเย็นเจ้าวัวก็เลยขอบคุณเจ้าลา เพราะความคิดเจ้าลา เจ้าวัวเลยสบายไม่ต้องทำงานหนัก
แต่เจ้าลาไม่รู้สึกดีกับคำขอบคุณนั้นมันตอบเจ้าวัวกลับไปว่า "เจ้าของบอกข้าว่าถ้าพรุ่งนี้เจ้ายังป่วยอีก
เขาจะเอาเจ้าไปฆ่าทำซุปหางวัวแล้ว" หลังจากนั้น เจ้าลา กับ เจ้าวัว ก็มองหน้ากันไม่ติดอีกเลย


นิทานสอนว่าแม้จะเป็นเพื่อนรักกันเท่าใด ภาระเขา กับ ภาระเรา ในบางเรื่อง ก็ไม่อาจทำแทนได้
เข้าทำนอง เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด ..... หากจะรักษามิตรภาพไว้เรื่องบางเรื่องก็อาจต้องปฏิเสธบ้าง

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

นิทานเรื่อง นกกระสา กับ หมาป่า

หมาป่าตัวหนึ่งเป็นหมาป่าเกเร ชอบกร่างกับสัตว์ทุกตัวในป่า สัตว์ป่าทุกตัวก็ไม่ชอบนิสัย
อันธพาลของมันเท่าไหร่ วันหนึ่งเจ้าหมาป่า กินปลาแล้วก้างปลาติดคอ ทรมานมาก ขอให้คนช่วย
ก็ไม่มีใครช่วย เจ้าหมาป่าได้รับคำแนะนำจากเจ้าเต่าว่าลองไปหาเจ้านกกระสาดูซิ เจ้านกกระสาน่า
จะคีบก้างออกมาให้ได้

เจ้าหมาป่าดีใจ รีบไปหาเจ้านกกระสา กราบขอร้องวิงวอน และสัญญาจะมีรางวัล ตอบแทนบุญคุณ
ให้เจ้านกกระสาอย่างงามถ้าช่วยมันได้ เจ้านกกระสารู้กิติศัพท์เจ้าหมาป่า ว่ามันทั้งใจดำ ทั้งเกเร
ก็ลองวัดใจดู มันเอาก้างออกมาจากคอโดยใช้ปากที่ยาวคีบก้างออกมาให้

พอก้างออกจากคอเจ้าหมาป่าดีใจมาก พอเจ้านกกระสาทวงของรางวัล สันดานอันธพาล
ของเจ้าหมาป่าบอกเจ้านกกระสาว่า ตอนเจ้านกกระสายื่นหัวไปในปากมันไม่งับหัวให้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว
มันไว้ชีวิตก็ดีเท่าไหร่แล้ว เจ้านกกระสาเจ็บใจแต่ก็ทำใจไว้แล้วเลยบอกกลับไปว่า ก็ไม่เป็นไรก้างที่
ข้าคีบออกมาให้นะมันก้างชิ้นเล็กก้างชิ้นใหญ่กว่าข้ายังไม่คีบออกมาให้เพราะรู้นิสัยของเจ้าดี

เจ้าหมาป่าคลำที่คอจึงรู้ว่ายังมีก้างค้างอยู่อีกอันจริง เจ้าหมาป่าจึงยังต้องทรมานกับก้างที่ติดอยู่ในคอต่อไป เที่ยวร้องให้ช่วยต่อไป แต่จะมีใครช่วยละ


คตินิทานเรื่องนี้สอนว่าหากช่วยคนพาล ควรมีสติรอบคอบเหมือนเจ้านกกระสา และ
ไม่ควรทำตัวแบบเจ้าหมาป่าที่ไม่รู้บุญคุณคน ทรยศหักหลังคนที่ช่วยตนเอง ไม่รักษาสัญญา

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

ราโชม่อน ความถูกต้องในมุมมองของตนเอง

วันนี้ได้รู้จักกับเรื่อง ราโชม่อน เป็นนิยายของญี่ปุ่นที่ โดยมี บทแปลของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มาทำเป็น
หนังไทยชื่อ อุโมงผาเมือง

"ราโชมอน" เรื่องราวของ ซามูไร ที่เดินทางไปในป่ากับ ภรรยา แล้วโดน โจร หลอกฆ่าตายในป่า โดยผ่านการสนทนา
ของคนตัดฟืนพยานพบศพ กับ พระที่เป็นพยาน และ คนเก็บของจากศพ เรื่องราวแสดงคำให้การของ พยานแต่ละคนในมุมมองของตัวเอง ซึ่งกลายเป็นว่า ทุกคนให้การณ์ถึงเหตุการ ฆาตกรรมต่างกันออกไป ไม่มีใครพูดความจริงหมดซักคนแม้แต่คนตาย ที่บอกผ่านร่างทรง หรือ พยานที่เล่าเหตุการณ์จริง
ก็ไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมด

- โจรก็บอกตัวเองฆ่าซามูไรและหยามศักศรีซามูไรทั้งข่มขืนเมียต่อหน้า แถมเมียซามูไรก้ชอบอีก แถมสู้ชนะซามูไร
- เมียก็บอกตัวเองฆ่าสามี เพราะทนสายตาดูถูกหลังจากตัวโดนข่มขืนไม่ได้ ปกป้องศักศรีตนเอง
- ซามูไรที่ตายก็บอกผ่านร่างทรงว่า ตัวฆ่าตัวตาย(ฮาราคีรี)อย่างสมศักศรี เพื่อป้องเกียรติตนเอง ที่เมียโดนข่มขืน ไม่ได้ถูกฆ่า
- คนตัดฟืนเล่าเหตุการณ์จริง ๆ ว่า ซามูไร หลังจากรู้ว่าเมียถูกข่มขืน จึงจะยกเมียให้โจร หล่อนก็แค้นใจไม่อยากเป็นเมียโจร
เลยยุให้โจรมาสู้กับซามูไรอย่างยุติธรรมใครชนะจะยอมเป็นเมีย โจรก็หลงเลยไปสู้เกือบแพ้โชคดีที่ดาบซามูไรไปเสียบต้นไม้
เลยรอดไล่ฆ่าซามูไรได้ ก่อนตายซามูไรเองก็ร้องขอชีวิต โจรจริงๆก็ลังเลตอนจะฆ่า เรื่องนี้ดูเมือนจะจริง
- แต่ตอนจบ คนเก็บศพก็จับผิดได้เรื่องดาบ ซามูไร ที่หายไป ดาบที่เป็นตัวล่อ ถูกคนตัดฟืนขโมยไป

เรื่องนี้สอนมุมมองหลาย ๆ อย่าง ในเรื่อง ความจริง ความถูกต้อง ของสิ่งที่เกิดขึ้น พยานทุกปากเล่าแต่เรื่องที่ปิดมุมส่วนที่เลวร้ายของตนเองแทบทั้งนั้น เล่าไม่หมด ด้านมืด ปมด้อย ถูกซ่อน จากคำให้การณ์ของพยานแต่ละคนแม้แต่คนตาย
คดีเดียวกัน ปลายทางเกิดเรื่องเดียวกันคือ ซามูไรถูกฆ่าตาย แต่เล่าเรื่องไม่เหมือนกัน

แต่สรุปความจริงจะเป็นอย่างไร ดาบที่หายไปก็เอาไปช่วยเลี้ยงทารก โลกอาจจะไม่ถูกต้องนัก ทุกคนอาจจะทำเพื่อประโยชน์
ตนเอง สิ่งที่คนอื่นกระทำกับเราในมุมของเขา กับในมุมของเราอาจแตกต่างกัน เป็นแค่ ความถูกต้องในมุมของตัวเอง เท่านั้น

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

Mac OS X

หลังจากดันไปซื้อเครื่อง Mac มือ 2 กะเอามาศึกษาการเขียนโปรแกรม xcode......
แล้วดันไม่มีความรู้สาย MAC มากนักเลยเจอปัญหาอย่างจังว่า XCODE4 มันลงไม่ได้กับ
MAC OS X 10.5.8 ค่าโง่ครับ

แมคโอเอสเท็น (อังกฤษ: Mac OS X) เป็นระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดในตระกูลแมคโอเอสสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2001 ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ แกนกลาง ดาร์วิน (Darwin) ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมการทำงานแบบยูนิกซ์ที่เป็นโอเพนซอร์ส และส่วนติดต่อผู้ใช้แบบ อควา (Aqua) ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของแอปเปิล คอมพิวเตอร์เอง

แอปเปิลยังได้สร้างแมคโอเอสเท็นรุ่นปรับปรุง เพื่อนำไปใช้ในอุปกรณ์ของแอปเปิล 4 ตัวได้แก่ แอปเปิลทีวี ไอโฟน ไอพอดทัช และไอแพด โดยที่ไอโฟน ไอพอดทัช และไอแพดนั้นจะใช้รุ่นของแมคโอเอสที่เรียกว่า iPhone OS ซึ่งระบบปฏิบัติการที่แก้ไขนี้จะมีแต่สิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ไดรเวอร์และส่วนประกอบอื่นที่ไม่จำเป็นจะถูกนำออกไป


ตัวอักษร "X" หมายถึงเลขสิบในระบบโรมัน และอ่านออกเสียงว่า "เท็น" (Ten, แปลว่า "สิบ" ในภาษาอังกฤษ) แสดงถึงรุ่นที่ต่อมาจากแมคโอเอสตัวก่อนหน้าคือ แมคโอเอส 9 นอกจากนี้ตัวอักษร X ยังแสดงถึงความเป็นยูนิกซ์ (UNIX) ในตัวระบบปฏิบัติการด้วย

แอปเปิลเองได้มีวิธีการเรียกชื่อแมคโอเอสเท็นถึงสามวิธี
Mac OS X v10.4 บอกเฉพาะเลขรุ่น (หมายเหตุ: ต้องมีอักษร v ด้วยเสมอ)
Mac OS X Tiger บอกเฉพาะรหัสในการพัฒนา
Mac OS X v10.4 "Tiger" บอกทั้งเลขรุ่นและรหัสในการพัฒนา

สังเกตว่ารหัสในการพัฒนานั้นจะเป็นชื่อสัตว์ในตระกูลเสือทั้งหมด

แมคโอเอสเท็นรุ่นต่างๆ

Mac OS X Public Beta (Kodiak)

เปิดตัวต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2000, เพื่อที่จะได้รับการตอบรับจากผู้ใช้, ซึ่งค่าใช้จ่าย $ 29.95 เป็นที่รู้จักกันทำเครื่องหมายห้องว่างสาธารณะครั้งแรกของอินเตอร์เฟซ Aqua และแอปเปิ้ลได้ทำการเปลี่ยนแปลงหลาย UI ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของลูกค้า Mac OS X Public Beta หมดอายุแล้วและหยุดการทำงานในฤดูใบไม้ผลิ 2001

Mac OS X 10.0 (Cheetah)

วางจำหน่าย 24 มีนาคม พ.ศ. 2544 ได้รับคำชมในเรื่องความเสถียรและความสามารถ แต่มีปัญหาในด้านความเร็วในการทำงาน ราคาจำหน่าย 129 ดอลลาร์

Mac OS X 10.1 (Puma)

วางจำหน่าย 25 กันยายน พ.ศ. 2544 ไม่ได้วางจำหน่าย แต่แจกเป็นชุดอัพเกรดฟรีสำหรับ Cheetah เพิ่มความเร็วในการทำงาน และความสามารถอื่นๆ เช่น การเล่นดีวีดี

Mac OS X 10.2 (Jaguar)

วางจำหน่าย 23 สิงหาคม พ.ศ. 2545 เพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน หน้าตาแบบใหม่ และความสามารถ เช่น
สนับสนุนเครือข่ายที่เป็นไมโครซอฟท์วินโดวส์
iChat - อินสแตนท์ เมสเซจจริง
Apple Rendezvous - การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบอัตโนมัติ
CUPS (The Common Unix Printing System) - ระบบการพิมพ์'กลาง'ของระบบยูนิกซ์

Mac OS X 10.3 (Panther)

วางจำหน่าย 24 ตุลาคม พ.ศ. 2546 พัฒนาความสามารถด้านอื่นเพิ่มขึ้น แต่หยุดสนับสนุนสถาปัตยกรรมแบบ G3 แล้ว ความสามารถเด่นมีดังนี้
Exposé - การแสดงหน้าต่างทำงานทั้งหมดในหน้าจอเดียว ทำให้ผู้ใช้เปลี่ยนหน้าต่างทำงานได้อย่างรวดเร็ว
Fast User Switching
FileVault
เพิ่มการสนับสนุนสถาปัตยกรรม G5

Mac OS X 10.4 (Tiger)

กำหนดวางจำหน่าย 29 เมษายน พ.ศ. 2548 ความสามารถเด่นมีดังนี้
Spotlight
Dashboard
QuickTime 7
Automator
Front row

Mac OS X 10.5 (Leopard)

แมคโอเอสเทน เลเพิร์ด (มักเรียกผิดเป็น ลีโอพาร์ด) วางจำหน่ายในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2550 มีความสามารถเด่นที่ประกาศแล้วดังนี้
Time Machine
Spaces
Core Animation
Quicklook
Stack
Finder ใหม่ที่รวม Cover Flow view เข้าไป
รองรับ 64-bit

นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงแอปพลิเคชันที่มีอยู่เดิมอีกด้วย

Mac OS X 10.6 (Snow Leopard)

แมคโอเอส สโนว์ เลเพิร์ด ได้วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552 โดยหยุดการสนับสนุนสถาปัตยกรรม PowerPC และมีความสามารถพิเศษเพิ่มเติมดังนี้
Dock Exposé
QuickTime X
Grand Central Dispatch
Safari 4
เขียนภาษาจีนโดยใช้ Trackpad ได้
ติดตั้งเร็วขึ้น 45%
ใช้พื้นที่น้อยลง 6GB
ปรับปรุงโค้ดกว่า 90%
เปลี่ยนเป็นระบบปฏิบัติการ 64 บิต อย่างสมบูรณ์
โปรแกรมทั้งหมดเปลี่ยนเป็น 64 บิต

Mac OS X 10.7 (Lion)

แมคโอเอส ไลออน
Safari 5
Facetime
iLife' 11
Launchpad
Mission Control
Mac App Store
Full-screen apps
Multi-Touch gestures
Auto save
Apps resume when launched
Autohiding Scrollbars
รองรับ Multitouch gestures เพิ่มมากขึ้น (สำหรับ Apple MagicMouse และ Apple MagicTrackpad)
รองรับการ Preview ในรูปแบบเต็มหน้าจอ

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

ยายกะตา ปลูกถั่วปลูกงาให้หลานเฝ้า

ยายกะตา ปลูกถั่วปลูกงาให้หลานเฝ้า หลานไม่เฝ้า ปล่อยให้กามากินถั่วกินงา

ยายมา ยายก็ด่า ตามา ตาก็ตี

หลานร้องไห้ ไปหานายพรานให้ช่วยไปยิงกา
“กงการอะไรของข้า”

นายพรานว่า

หลานจึงไปหาหนู ขอร้องหนูให้ช่วยไปกัดสายธนูของนายพราน
หนูว่า “กงการอะไรของข้า”

หลานจึงไปหาแมว ขอให้แมวไปไล่กัดหนู
แมวเฉยอยู่และว่า “กงการอะไรของข้า”

หลานจึงไปหาหมา ขอให้หมาไปช่วยกัดแมว
หมาฟังแล้ว

“กงการอะไรของข้า”

หมาว่า

หลานจึงไปหาค้อน ขอให้ค้อนช่วยไปตีหัวหมา
ค้อนก็ว่า “กงการอะไรของข้า”

หลานจึงไปหาไฟ ขอให้ไฟไปไหม้ค้อน
ไฟไม่สนใจและว่า “กงการอะไรของข้า”

หลานจึงไปหาน้ำ ขอให้น้ำไปช่วยดับไฟ
น้ำยังคงไหลรินต่อไปและว่า “กงการอะไรของข้า”

หลานจึงไปหาตลิ่ง ขอให้ตลิ่งไปพังทับน้ำ
ตลิ่งฟังแล้วนิ่ง ตลิ่งว่า

“กงการอะไรของข้า”

หลานไปหาช้าง ขอให้ช้างไปช่วยพังตลิ่ง
ช้างก็ว่า “กงการอะไรของข้า”

หลานจึงไปหาแมลงหวี่ ขอให้แมลงหวี่ไปช่วยตอมตาช้าง
แมลงหวี่รับอาสาหลาน

จึงไปตอมตาช้าง

ช้างจึงไปพังตลิ่ง ตลิ่งจึงไปพังทับน้ำ น้ำจึงไปช่วยดับไฟ ไฟจึงไปไหม้ค้อน ค้อนจึงไปตีหัวหมา หมาจึงไปกัดแมว แมวจึงไปกัดหนู หนูจึงไปกัดสายธนูของนายพราน นายพรานจึงไปยิงกา กาจึงไม่มากินถั่วกินงา

ยายมายายไม่ด่า

ตามาตาไม่ตี

หลานจึงมีความสุขตลอดไป

-----------------------------------------------

นิทานเรื่องนี้สอนอะไรกับ เด็กและสังคม และกลอุบายแห่งนิทาน
นิทานเรื่องนี้สมาร์ทได้ฟัง ประมาณตอน หนู ไป แมว ไป หมา ก็เริ่มจับทางได้มันเหมือนเรื่องซ้ำ ๆ
นิทานจะไม่จบ ถ้าแมงหวี่ไม่เป็นคนเริ่มช่วย แต่การที่ คน สัตว์ สิ่งของ ต่าง ๆในเรื่องช่วยก็เพราะ
ตัวเองเดือดร้อน ... พอเป็นกงการของตัวเองจึงเริ่มทำเริ่มแก้ปัญหาที่ถูกร้องขอ เวลานี้นิทานเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดในสังคม
ทุกวัน เราพบเจอ หรือ ไม่บางทีก็เป็นเราเสียเอง ที่ไม่สนใจคำขอร้องของคนเดือดร้อน เพราะคิดว่า
"ไม่ใช่กงการ" จนวันหนึ่งความเดือดร้อนมาถึงเรา เราจึงโอดครวญเห็นความสำคัญของปัญหา

คำคมน่าคิด

รุ่นน้องที่สถาบัน (ลูกศิษย์เก่า) ชื่อ บ้อง (บัญชา เกิดมีสุข) ไม่รู้เอามาจากไหนแต่โดนใจมาก ๆ

--------------------------------

เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง
แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุด
ที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ

--------------------------------

เป็นคำพูดที่แสดงความทรนง ในศํกศรี ความเป็นตัวของตัวเองมาก ๆ ชอบนะ
แม้ในโลกจริง ๆ เราจะหนีไม่พ้น ความชอบ ความชัง ของคนในสังคม เราอาจต้องแคร์บางคน
หรือไม่แคร์บางคน แต่สุดท้าย เราอาจต้องตอบคำถามหัวใจตัวเองว่า เราทำสิ่งที่ดีที่สุดหรือยัง
ใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า เราทำสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำหรือยัง

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

หลักการซื้อคอม (ของข้าพเจ้าเอง)

ขอเขียนหลักการซื้อคอม(ของข้าพเจ้าเอง)

1. อ่านราคาดูสเป๊กมันหน้าร้านนั้นแหละ มีของขายก็มีเงินซื้อวางงบในใจไปเลย คิดถึงงานที่จะใช้คอมเขาทำก่อน
2. ไปซื้อกับหน้าร้านครับเพราะของที่จะซื้อต้องเป็นของที่เห็นเพราะถ้าของมีตำหนิก็ไม่เอาเลย
3. ดู Body ที่ชอบ ชอบเบา ๆ เล็ก ๆ แบต ทน ๆ
4. ราคาไม่ถึงหมื่นจะพิจารณาก่อน เพราะ ใช้งานแค่เขียนโปรแกรม แต่ถ้าแพงขึ้นมานิดแต่ได้ของดีกว่า
ก็ OK
5. ซื้อเครื่อง แบร์นไหนก็ได้ ที่มี ศูนย์ใกล้ ๆ บ้าน เคลม สะดวก ๆ เพราะบ้านใกล้ เซียร์ IT Square
6. โปรแกรมยังไงก็มาลงเอง ถ้าขี้เกียจลงเองก็เสีย 300 บ. สั่งได้ แต่เฝ้าดูเพราะช่างบางคนชอบแอบแถมของที่ไม่อยากได้มา
ของไม่ได้สั่งไม่ต้องลงหรอก
7. ซื้อกับร้านไหนก็ไปซื้อประจำ เพราะเราจะมีเครดิตต่อลองได้
8. ในระยะประกัน 15 วัน เปลี่ยนทันที ก็ตะบันใช้ทดสอบเต็มที่ พังก็เอาไปเปลี่ยนที่ร้าน
9. ประกันศูนย์ 1 ปี เท่าที่เคยใช้ ACER ก็เปลี่ยนให้เลย อย่างจอ LCD ที่บ้านแต่ใช้ไป ๆ จะมีเส้น ตอนในประกันไปเครม
เขาก็เปลี่ยนให้ใหม่ ใช้ไปซักพักมันก็เป็นอีกแต่หมดประกัน ทำใจอุปกรณ์เดี๋ยวนี้ หมดประกัน มันจะแสดงอาการให้เปลี่ยนเอง
555 ถ้ามีปัญหา
10. ส่วนตัว onsite service คำนวณว่าถ้าชาร์ตมาก ก็ไม่เอา เพราะเค้าจะบวกราคามาด้วยเหมือนซื้อประกัน
แต่กับคนอื่นที่ไม่ได้สายคอมแบบเราคิดว่าคงจำเป็น แต่ทุกอย่างมีเงื่อนไข และคอมในตลาดก็ขาย
onsite service เลยต้องดูด้วย แต่เท่าที่เข้าใจ onsite service เหมือนไม่ใช่ว่าเขาจะลง windows ให้ใหม่
ถ้ามีปัญหา หรือ คอมติดไวรัส แล้วเขาจะมาแก้ให้นะ เหมือนถ้าช่างเขามาแล้วความผิดพลาดจากลูกค้าเอง
เขาจะชาร์ตด้วยต่างหาก อ่านจะข้อตกลง
11. ตอนช่างประกอบ แกะกล่อง เฝ้าดูตลอดเพราะเคยเห็นคนโดนสับเปลี่ยนของไม่ดีให้ อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจช่าง
12. จ่ายเงินดูเอกสารใบประกันให้เรียบร้อย