วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2566

การสร้าง AI

 การสร้างระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI (Artificial Intelligence) เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและประกอบไปด้วยหลายขั้นตอน ต่อไปนี้คือขั้นตอนสำคัญที่ใช้ในการสร้าง AI:

  1. กำหนดประเภทของ AI:

    • กำหนดว่า AI ที่คุณต้องการสร้างจะเป็นประเภทไหน เช่น ปัญญาประดิษฐ์แบบแข็ง (Strong AI) หรือปัญญาประดิษฐ์แบบอ่อน (Weak AI).
  2. วางแผนและกำหนดขอบเขต (Planning and Scoping):

    • กำหนดวัตถุประสงค์และลักษณะของ AI.
    • กำหนดขอบเขตของโปรเจกต์และระบุความสามารถที่ต้องการ.
  3. เก็บข้อมูล (Data Collection):

    • รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นในการฝึก AI.
    • ตรวจสอบและจัดระเบียบข้อมูลเพื่อให้เป็นไปตามที่ต้องการ.
  4. เลือกและสร้างอัลกอริทึม (Algorithm Selection and Development):

    • เลือกหรือสร้างอัลกอริทึมที่เหมาะสมกับงานหรือปัญหาที่กำลังจะแก้.
    • ทดสอบและปรับปรุงอัลกอริทึมตามความต้องการ.
  5. การฝึกและปรับโมเดล (Training and Fine-Tuning):

    • ใช้ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาเพื่อฝึก AI.
    • ปรับแต่งพารามิเตอร์และโมเดลเพื่อให้มีประสิทธิภาพ.
  6. การทดสอบและประเมิน (Testing and Evaluation):

    • ทดสอบระบบ AI ด้วยชุดข้อมูลทดสอบแยกออกมา.
    • ประเมินประสิทธิภาพและความแม่นยำของระบบ.
  7. การปรับปรุงและการพัฒนาต่อไป (Iterative Improvement):

    • ปรับปรุงระบบ AI ตามผลการทดสอบและการประเมิน.
    • ทำให้ระบบมีความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวต่อเปลี่ยนแปลง.
  8. การนำไปใช้ (Deployment):

    • นำระบบ AI ที่ได้ผ่านการทดสอบและประเมินไปใช้งานจริง.
    • ติดตามและดูแลเพื่อให้ระบบทำงานได้ตามที่กำหนด.
  9. การบำรุงรักษา (Maintenance):

    • ดูแลและบำรุงรักษาระบบ AI ในระยะยาว.
    • ปรับปรุงตามความเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมหรือความต้องการ.
  10. ควบคุมคุณภาพและความปลอดภัย (Quality Control and Security):

    • ให้ความสำคัญกับความถูกต้อง, ความเชื่อถือได้, และปลอดภัยของระบบ AI.
    • ตรวจสอบและป้องกันปัญหาทางความปลอดภัย.

การสร้าง AI เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์, การเรียนรู้เชิงลึก, และการวิเคราะห์ข้อมูล นอกจากนี้, การทำงานร่วมกับทีมที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ ยังเป็นสิ่งสำคัญ.

การบริหารงาน IT PROJECT MANAGER

 การบริหารงาน IT Project Manager เป็นหน้าที่ที่มีความท้าทายและต้องมีทักษะที่หลากหลายในการจัดการโครงการทางเทคนิคและทางบริหารการทำงาน. นี่คือบางคำแนะนำในการบริหารงาน IT Project Manager:

  1. วางแผนโครงการ (Project Planning):

    • กำหนดเป้าหมายโครงการและระยะเวลาที่ชัดเจน.
    • ทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงและวางแผนการจัดการความเสี่ยง.
    • กำหนดงบประมาณและทำการควบคุมการใช้งบประมาณ.
  2. การจัดทำเอกสาร (Documentation):

    • สร้างเอกสารโครงการที่ชัดเจน เช่น แผนโครงการ, รายงานความคืบหน้า, และเอกสารทางเทคนิค.
    • รักษาการอัปเดตเอกสารในทุกขั้นตอนของโครงการ.
  3. การจัดทำทีม (Team Management):

    • สร้างทีมที่มีทักษะที่ต้องการและสามารถทำงานร่วมกันได้.
    • จัดทำการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะของทีม.
    • สร้างบรรยากาศทำงานที่สนับสนุนและท้าทาย.
  4. การติดตามและควบคุม (Monitoring and Controlling):

    • ติดตามและควบคุมความคืบหน้าของโครงการตามแผน.
    • รับรู้ปัญหาที่เป็นไปได้ล่วงหน้าและพิจารณาวิธีการแก้ไข.
    • พัฒนาแผนการทำงานร่วมกับทีมเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง.
  5. การสื่อสาร (Communication):

    • สื่อสารอย่างชัดเจนและประณีตกับทีม, ลูกค้า, และผู้บริหาร.
    • สร้างช่องทางสื่อสารที่มีประสิทธิภาพภายในทีม.
    • แก้ไขปัญหาการสื่อสารทันที.
  6. การจัดการข้อขัดแย้ง (Conflict Management):

    • จัดการข้อขัดแย้งในทันทีและอย่าให้มันกลายเป็นปัญหาใหญ่.
    • สร้างวินัยในทีมในการแก้ไขข้อขัดแย้ง.
    • สนับสนุนการสร้างความเข้าใจและการทำงานร่วมกัน.
  7. การทดสอบและการประเมิน (Testing and Evaluation):

    • สร้างแผนการทดสอบที่เข้มงวดและครอบคลุม.
    • ประเมินผลลัพธ์ทดสอบและดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่อง.
    • รีวิวและประเมินการทำงานของทีมหลังจากทุกขั้นตอนของโครงการ.
  8. การพัฒนาตนเอง (Self-Development):

    • ติดตามและปรับปรุงทักษะทางเทคนิคและทักษะบริหาร.
    • เข้าร่วมสัมมนา, อบรม, หรือกิจกรรมที่สามารถพัฒนาทักษะได้.

การบริหารงานของ IT Project Manager เป็นการบริหารคนและทรัพยากรเทคนิคในทันที ทำให้ต้องมีทักษะที่หลากหลายและความเข้าใจทั้งในด้านธุรกิจและเทคนิค.

เคล็ดลับทำไงให้ตั้งใจทำงาน ?

 การทำงานต้องการการตั้งใจและการจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้คุณสามารถตั้งใจทำงานได้ดีขึ้นนี้คือเคล็ดลับบางประการ:

  1. กำหนดเป้าหมายเพิ่มเติม: กำหนดเป้าหมายที่เป็นไปได้และที่สามารถวัดได้ เป้าหมายที่ชัดเจนช่วยให้คุณมีแรงจูงใจมากขึ้นในการทำงาน.

  2. แบ่งงานเป็นส่วนๆ: การแบ่งงานเป็นส่วนๆ ทำให้งานดูน้อยลงและง่ายต่อการจัดการ นอกจากนี้ยังช่วยลดความกดดันและทำให้งานดูเป็นไปได้มากขึ้น.

  3. ให้เวลาสำหรับพักผ่อน: พักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสมดุลของจิตใจและร่างกาย เตรียมเวลาพักในตารางการทำงานของคุณ.

  4. ใช้เทคนิค Pomodoro: การใช้เทคนิค Pomodoro เป็นวิธีที่ดีในการจัดการเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน กำหนดเวลาทำงานเป็นช่วง 25 นาทีแล้วพัก 5 นาที.

  5. ลดสิ่งที่ทำในขณะทำงาน: ปิดการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์หรือแอปพลิเคชันที่อาจทำให้คุณสูญเสียความต Concentrationัว.

  6. สร้างสภาพแวดล้อมทำงานที่ดี: ทำให้พื้นที่ทำงานของคุณเป็นสถานที่ที่สะดวกสบายและกระตุ้นให้ตั้งใจ.

  7. ตั้งเวลาทำงานในช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ: มีคนที่เป็น "นามธรรม" ตอนเช้า ในขณะที่คนบางคนมีประสบการณ์ทำงานที่ดีในช่วงเย็น ค้นหาเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ.

  8. ตั้งค่าวันของคุณล่วงหน้า: ก่อนจะหลับตา วางแผนสิ่งที่คุณต้องการทำในวันถัดไป เพื่อให้คุณได้เริ่มต้นทำงานได้อย่างมีวางแผน.

  9. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะการจัดการเวลา: ฝึกฝนทักษะการจัดการเวลาของคุณและพยายามปรับปรุงตนเองในทุกๆ วัน.

  10. รับความช่วยเหลือ: ถ้าคุณรู้สึกว่างานมีมากเกินไปหรือมีแรงกดดันมากเกินไป ไม่เขียนที่จะขอความช่วยเหลือจากคนรอบตัว อาจเป็นการให้คำปรึกษาหรือร่วมมือกันในการทำงาน.

การทำงานต้องการการจัดการเวลาและการตั้งใจที่ดี ลองปรับใช้เคล็ดลับเหล่านี้และดูว่ามันจะช่วยให้คุณตั้งใจทำงานมากขึ้นได้หรือไม่

วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2566

หาวิธีออกห่่่างจาก toxic people

 ในสมัยช่วง 6 ปีก่อน ผมเองถือว่ามีประสบการณ์ เจอกับ toxic people ในที่ ทำงานเก่า และก็ไม่รู้วิธีจะรับมือ กับคนพวกนี้ ทำให้เกิดความวิตกกังวล ในการทำงาน เป็นสาเหตุทำให้เราเสียสุขภาพจิต และเกิดอาการ burn Out ชีวิตก็ไม่มีความสุขแล้วก็เป็นโรคซึมเศร้า จนในวันหนึ่ง มีคิดได้ คนในครอบครัวเปลี่ยนแปลงความพร้อม แล้วก็มุ่งมั่นที่จะลองเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น


บางครั้งการแก้ไขที่ง่ายที่สุด ก็คือการ เลิกคบเลิกติดต่อ บล็อก LINE บล็อกเฟส ไม่ต้องเจอกัน เปลี่ยนที่ทำงาน ไม่ต้องยุ่งไม่ต้องสนใจ เป็นวิธีแก้ที่ดีที่สุด สำหรับตัวของเราเอง


ผมไม่เคยลบเบอร์ ของใครออกจากเครื่อง ซึ่งถ้าเขามีเหตุจำเป็นจริงๆต้องติดต่อผมก็ยังสามารถติดต่อกับเขาได้ ผมยังรับโทรศัพท์ของเขาอยู่ ในเมื่อห่างกันสักพักใหญ่ๆ ความกดดันความวิตกกังวล หรือความสนิท การพูดคุยในหัวข้อที่ทำลายสุขภาพจิตกันก็จะลดลง จนเมื่อห่างถึงจุดๆหนึ่ง ก็จะเปิดเป็นคนที่เคยรู้จักกัน และทำให้เราจำแต่สิ่งที่อาจจะเป็นสิ่งดีๆซึ่งกันและกัน มากกว่าจะมาจำเรื่องแย่ๆ


คนเมื่อไม่มี ผลประโยชน์ ซึ่งกันและกัน มาเป็นตัวขีดขั้น จะทำให้เราเห็น สภาพ ของคนคนนั้น มิตรแท้ หรือคนที่ดี จะเป็นคนที่ ทักทาย ห่วงใย และไม่ได้ต้องการจะแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งกันและกัน เพื่อนไม่จำเป็นต้องมีมาก แต่ขอ ให้เป็นเพื่อนที่ดี

สรุป ถ้าคุณต้องเจอกับ toxic people ให้คุณพยายามห่างๆ คบให้น้อยที่สุด พูดคุยให้น้อย รักษาความสัมพันธ์ต่างๆของคุณเอาไว้ แต่ไม่ต้องไปจม อยู่กับคำพูด หรือแคร์ความรู้สึก เขาเหล่านั้นมากนะ แล้ววันนึงคุณจะพิสูจน์ตัวคุณเองได้เองว่าเขาไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับคุณ และคุณก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องติดต่อหรือสื่อสารอะไรกับเขา สุขภาพจิตของคุณก็จะดีขึ้น