วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ถ่าย STUDIO




ถ่ายกับยายทวดแจ้งและน้าอุ๊

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วิเคราะห์ชื่อ จิรทีปต์ แย้มสระโส

ชื่อ - นามสกุล
จิรทีปต์ แย้มสระโส
วันเกิด วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2547
เวลาเกิด 20:15 น.
วันสำหรับตั้งชื่อ วันเสาร์


ชื่อ จิรทีปต์ ประกอบด้วย 8 ตัวอักษร สามารถแยกตัวอักษรตามหลักภูมิทักษามีรายละเอียดดังนี้

อักษร ท , ต เป็น บริวาร ช่วยเสริมดวงเจ้าชะตาด้านผู้อยู่ใกล้ชิดแวดล้อม เช่น คู่ครอง บุตร ลูกน้อง
อักษร ป เป็น อายุ ช่วยเสริมดวงเจ้าชะตาด้านความเป็นอยู่ สุขภาพ การดำเนิชีวิต
อักษร ร เป็น เดช ช่วยเสริมดวงเจ้าชะตาด้านอำนาจบารมี เกียรติยศชื่อเสียง
อักษร อิ , อี เป็น มูละ ช่วยเสริมดวงเจ้าชะตาด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การงาน ทรัพย์มรดก เงินทุน
อักษร จ เป็น มนตรี ช่วยเสริมดวงเจ้าชะตาด้านการอุปถัมภ์ค้ำชู การให้ความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่


ความหมายของทักษา

บริวาร หมายถึง บุตร สามี ภรรยา ผู้ใต้บังคับบัญชา รวมทั้งคนที่เราต้องให้ความอุปการะภายในครอบครัวเราทุกคนด้วย
อายุ หมายถึง ชีวิต ความเป็นอยู่ ตลอดจนวิถีทางแห่งการดำเนินชีวิตของเรา
เดช หมายถึง อำนาจวาสนา เกียรติยศ ชื่อเสียง ตำแหน่งหน้าที่ การงาน ตลอดจนการศึกษาเล่าเรียน ความรักใคร่ เกรงกลัว
ศรี หมายถึง หลักทรัพย์สิน เงินทอง ของใช้สอย สิริมงคล โชคลาภ ที่ได้มาเป็นสิ่งของต้องใช้จ่ายและที่จะได้ในภายหน้า
มูละ หมายถึง หลักทรัพย์เดิมที่ได้รับเป็นมรดกตกทอดมาถึงตน และอยู่ในปัจจุบัน ตลอดฐานะญาติพี่น้องของเรา
อุตสาหะ หมายถึง ความขยันหมั่นเพียร การทำงาน ผลสำเร็จจากการงาน รวมถึงการมีหัวคิดริเริ่ม และทิฐิมานะ
มนตรี หมายถึง ผู้อุปถัมภ์ค้ำชูเรา อันอาจได้แก่ บิดามารดา อุปัชฌาย์ อาจารย์ ครู เจ้านาย และผู้ให้ความช่วยเหลือเราทุกคน
กาลกิณี หมายถึง ความชั่วร้าย ศัตรู คู่อาฆาต คนไม่ถูกกัน ความไม่ดีงามต่าง ๆ รวมทั้งอุปสรรคนานาประการที่มาในทางเลวร้าย



[ วิเคราะห์ชื่อตามหลักเลขศาสตร์ ]


ชื่อ จิรทีปต์ มีค่ากำลังดาว 36

ตามคำทำนายโบราณ ท่านกล่าวไว้ว่า


กำลังดาวได้เลข 36 เลข 36 เป็นเลขดี ผู้อยู่ใต้อิทธิพลเลขนี้จะมีเสน่ห์ เป็นที่รักของคนมากโดยเฉพาะเพศตรงข้ามจะชื่นชอบเป็นพิเศษ ชีวิตประสบความสำเร็จและมีความสุข อาจมีข้อด้อยตรงที่มักจะเจ้าอารมณ์ หากควบคุมตรงนี้ได้จะเป็นชีวิตที่น่าอิจฉาไม่น้อย


นามสกุล แย้มสระโส มีค่ากำลังดาว 43

ตามคำทำนายโบราณ ท่านกล่าวไว้ว่า


กำลังดาวได้เลข 43 เลข 43 เป็นเลขร้าย อับโชค เพราะ 43 รวมกันได้ 7 หมายถึงดาวเสาร์ บ่งบอกถึงความวิปริต มีศัตรูคอยจะกลั่นแกล้งอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา และมีทุกข์อยู่เนือง ๆ ชีวิตจะพบแต่อุปสรรค ความทุกข์ ความผิดหวังล้มเหลว อย่าประมาทเป็นอันขาด ชีวิตในวัยเด็กระยะวัยรุ่นอาจจะประสบอุบัติเหตุได้ง่าย


รวมชื่อและนามสกุล จิรทีปต์ แย้มสระโส มีค่ากำลังดาว 79


ตามคำทำนายโบราณ ท่านกล่าวไว้ว่า


กำลังดาวได้เลข 79 เลข 79 เป็นเลขที่ดีพอสมควร ผู้อยู่ภายใต้อิทธิพลเลขนี้มักมีมิตรสหายมาก มีต้นตระกูลที่ดี จะได้มรดกเป็นของเก่าแก่ ชีวิตจะประสบความสำเร็จอย่างโลดโผน หรือแปลก ๆ ควรระวังในเรื่องของสุขภาพของคนใกล้ชิด


[ วิเคราะห์ชื่อตามหลักอายตนะ 6 ]


ชื่อ จิรทีปต์ มีค่าอายตนะ 6 เท่ากับ 8

ตามคำทำนายโบราณ ท่านกล่าวไว้ว่า


อายตนะ 6 หมายเลข 8 เปรียบดังเจ้าคนนายคน มีบารมี เป็นหัวหน้าเป็นผู้จัดการ เป็นที่เคารพยำเกรงแก่ผู้คน เจ้าชะตามักต้องแบกภาระ แต่มีความสุขกาย สุขใจดี มีอำนาจวาสนา มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบมาก

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เที่ยวเขื่อนขุ่นด่าน











เชงเม้ง 2552







KID OF THE WORLD
















กล้วยร้อยหวี











ถ่ายที่ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร

เที่ยวเมืองโบราณ







เที่ยววังตระไคร้




ภาพวันแม่ปี 2551







วันแม่ปี่ 2551 พาแม่กับอี๊ซิกไปเที่ยวศูนย์ศิลปาชีพพิเศษบางไทร เอาเจ้าแพทไปด้วย



วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

9 วิธีสร้างกำลังใจในการทำงาน

การทำงานย่อมมีปัญหาทุกคน ฝึกมองโลกในแง่บวกก็จะทำให้มีความสุขกับการทำงาน และควรแบ่งปันน้ำใจให้คนอื่นด้วยผู้ร่วมงานไม่ให้ความร่วมมือ เจ้านายจอมเฮี้ยบ เงินเดือนก็ต่ำ แถมยังมีชีวิตประจำวันที่รีบเร่ง สิ่งเหล่านี้ทำให้คุณเครียดจนท้อแท้ แต่ก็อย่าเพ่ิงรีบด่วนลาออกจากงาน เพราะคุณสามารถมองโลกให้เบิกบานได้ด้วยเคล็ดลับ 9 ข้อต่อไปนี้

1. ทุกคนมีปัญหาที่คล้ายกัน จากการศึกษาในประเทศเยอรมนีพบว่า 90% ของคนทำงานไม่พึงพอใจกับงานที่ทำอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายว่าว่าเกือบทุกคนทำงานไม่ตรงกับความสามารถของตัวเอง คือคนส่วนใหญ่มักมีปัญหาคล้ายๆ กันในการต่อสู้ และไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นงานอะไร เพราะทุกคนมีพื้นฐานของปัญหาที่คล้ายๆ กัน จึงไม่ได้มีคุณคนเดียวที่มีปัญหา

2. อย่าคาดหวังกับสิ่งๆ เดียว เรามักจะเลือกงานที่ดูโดดเด่น เช่น เงินเดือนสูงหรือตำแหน่งหน้าที่การงานดี หรือเป็นงานสนุก ซึ่งความคาดหวังเหล่านี้อาจไม่ได้เป็นจริงอย่างที่หวังก็ได้ จึงควรคิดเสียใหม่ว่า ความสุขที่ได้จากงานก็คือ การได้พบเจอแต่คนนิสัยดีๆ แวดล้อมตัวเรา มีเจ้านายที่มีเมตตาและสถานที่ทำงานดี เมื่่อเราไม่คาดหวังสูงเกินจริง เราก็จะไม่รู้สึกผิดหวัง

3. เข้าใจความหมายของคำว่า "เงิน" บางคนคิดว่าเงินสำคัญเหนืออื่นใด แต่จากการศึกษาพบว่า เราหาเงินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักคำว่าพอ เนื่องจากเรามักเปรียบเทียบกับคนอื่นเสมอ และเราก็มักพบคนที่มีรายได้มากกว่าเรา แต่ถ้าใครทำงานโดยคิดว่ามีรายได้เพียงพอแล้ว ชีวิตก็จะมีความสุข

4. รู้จักการแบ่งปัน การทำงานอย่างมีน้ำใจ ยอมรับซึ่งกันและกันและทำงานร่วมกัน สิ่งเหล่านี้เราสามารถทำได้ และเมื่อทำงานสำเร็จด้วยดีแล้วเจ้านายไม่ชื่นชมก็อย่าน้อยใจหรือเสียใจเพราะเป็นไปได้ว่า มีพนักงานมากมายจนเจ้านายไม่มีเวลามากล่าวชมทุกคน

5. อย่ามองหาความยุติธรรม เมื่อเราต้องทำงานกับผู้คน ก็ต้องมีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นบ้าง อย่าลืมว่ามนุษย์ไม่ได้มีความยุติธรรมที่เกิดขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ แต่เกิดจากความเข้าอกเข้าใจกันมากกว่า การหางานที่มีความยุติธรรมจะทำให้เสียเวลาเปล่า เพราะมันไม่มีอยู่ เราจึงควรปลอบใจตัวเองบ้างว่า บางครั้งเราก็ได้ประโยชน์จากความไม่ยุติธรรมเหมือนกัน

6. ไม่อยากโดดเดี่ยวใช่มั้ย การทำงานกับคนหมู่มากก็ต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง มีเสียงรบกวนและสิ่งอื่นๆ ที่รบกวนการทำงาน แต่เราก็ต้องทำใจเมื่อต้องทำงานกับผู้คนเพราะคงไม่มีใครอยากทำงานคนเดียว ที่ใดก็ตามที่มีมนุษย์ก็มักมีเรื่องเครียดๆ มาเป็นผงชูรสให้แก่ชีิวิต แล้วเราก็นำสิ่งเหล่านี้มาเป็นรางวัลให้แก่ตัวเองในแง่ที่ว่า เราไม่ได้โดดเดี่ยวเพียงลำพัง

7. เข้าใจพื้นฐานของชีวิต บางคนมักมีปัญหาเดิมๆ ในการทำงานจนฝังรากลึก ในชีิวิตของเราและในชีวิตการทำงานก็มีเรื่องเกิดขึ้นซ้ำๆ เสมอ จนกระทั่งเราเรียนรู้ปัญหาต่างๆ และตอบโจทย์ปัญหาเหล่านั้นได้ แต่ก็ต้องอาศัยเวลาและความกล้าที่จะสั่งสมประสบการณ์ต่างๆ จนเราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

8. ความรู้สึกในด้านบวก เราไม่ควรมีความรู้สึกในด้านลบกับใคร ความโกรธทำให้อารมณ์เป็นพิษ และเสียสุขภาพ เราจึงควรเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เช่น เมื่อรู้สึกโกรธเพื่อนร่วมงานที่มาทำงานสาย ก็ให้คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ลองฝึกความคิดในด้านบวกบ่อยๆ ก็จะทำให้เราเรียนรู้การจัดการกับความรู้สึกของตัวเองโดยไม่ปล่อยให้สิ่งแวดล้อมมาทำให้เราอารมณ์เสีย

9. ติดต่อกับคนอย่างถูกวิธี การแสดงความก้าวร้าวมักส่งผลลบต่อตัวเรา โดยเฉพาะการนำมาใช้กับเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย เพราะหากเราเอาตัวเราเป็นศูนย์กลางก็จะทำให้เราก้าวร้าวคนอื่น เพราะคิดว่าตัวเองถูกต้องเสมอ แต่การอ่อนน้อม พูดจาประนีประนอมจะทำให้ได้รับความร่วมมือในการทำงานหรือการติดต่อกับผู้คนเป็นอย่างดี

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

งานเลี้ยงยาสูบจังหวัดนครนายก




อาม่า เจ็กโอ เป็นประธานร่วมกับโรงงานยาสูบจัดงานเลี้ยงที่ โรงแรมจันทรารีสอร์ท


SMART MAN




ตลาดสามชุก




พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร จ.สุพรรณบุรี




วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

น้องสมาร์ทหัดถ่ายรูป

วันนั้นสอนน้องสมาร์ทหัดถ่ายรูป พี่แกถ่ายใหญ่เลย สงสัยโตขึ้นจะเป็นโตขึ้นจะเป็นนักถ่ายรูป

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

งานกับความสุข

งานกับความสุขอาจจะไปด้วยกันยากในบางโอกาส ที่ผ่านมางานทุกงานเราก็ทำด้วยใจรัก
แต่เมื่อมันถึงเวลางานนั้นอาจจะไม่ใช่ของเรา เราทำให้คนอื่นเขาแต่เราก็รักในงานที่เราทำ
ชีวิตนี้จะเอาอะไรมากได้ทำงานที่ตัวเองรัก มีความสุขกัยครอบครัว สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้
มีปัจจัย 4 ครบ เท่านี้ชีวิตก็สมบูรณ์

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ใครขโมยเนยแข็งของฉันไป

เนื้อเรื่องโดยย่อ
ครั้งหนึ่งนานมาแล้วในดินแดนไกลโพ้น มีตัวละครอยู่ 4 ตัว คู่หนึ่งเป็นหนูชื่อ SNIFF และ SCURRY อีกคู่หนึ่งเป็นคนแคระชื่อ HEM และ HAW
ทุกวันทั้งสองคู่จะวิ่งเข้าไปในเขาวงกต เพื่อหาเนยแข็งกิน ทางเดินในเขาวงกตมีทั้งมุมมืด ทางตัน ทางวนเวียน จนอาจหลงทางเอาได้ง่าย ๆ ใครที่หาทางไปถึงเนยแข็งได้ ก็ถือเป็นเส้นทางแห่งความสุขของชีวิต เจ้าหนูสองตัวใช้วิธีลองถูก - ลองผิด วิ่งไปเจอทางตัน ก็ลองเส้นทางใหม่โดยใช้จมูกเป็นเครื่องนำทาง แต่สำหรับคนแคระสองคนนี้ใช้สมองที่เหนือกว่า หาเส้นทางไปสู่เนยแข็งที่เขาชอบเป็นพิเศษโดยใช้การคิดและการเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต จากการใช้วิธีดังกล่าวทั้งคู่ก็ไปพบเนยแข็งที่ตนชอบในสถานี (STATION) ของตน ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเนยแข็งมาจากไหน หรือใครเอามาวางไว้ให้ แต่เขาก็เจอมันทุกวันอย่างมีความสุข HEM และ HAW เชื่อว่าเนยแข็งที่นี่มีเพียงพอสำหรับพวกเขาไปตลอดชีวิต และรู้สึกมีความสุข ประสบความสำเร็จ และคิดว่าพวกเขามั่นคงและยึดมั่นว่ามันเป็นเนยแข็งของเขาทั้งสองคน
ส่วนเจ้าหนูทั้งคู่ก็จะวิ่งมาหาเนยแข็งกินทุกเช้าเช่นเดียวกัน เช้าวันหนึ่ง เมื่อทั้งคู่มาถึงก็ไม่พบเนยแข็งเลย แต่ทั้งคู่ก็ไม่แปลกใจ เพราะได้สังเกตมาหลายวันแล้วว่าเนยแข็งมันเริ่มลดลง ทั้งคู่ไม่เคยวิเคราะห์มาก่อนและก็ไม่มีความเชื่อที่ซับซ้อนมากมาย เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงทั้งคู่ก็ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตามด้วย ทั้งคู่ออกหาเนยแข็งในสถานีใหม่ด้วยวิธีลองถูก - ลองผิด ดมหากลิ่นไปเรื่อยๆ อีกครั้ง ในไม่ช้าพวกมันก็พบเนยแข็งแห่งใหม่ ในวันเดียวกัน HEM และ HAW ก็มาถึงสถานี และไม่พบเนยแข็งอยู่เลย เนื่องจากมิเคยสังเกตเลยว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเล็กน้อยมานานแล้วกับปริมาณเนยแข็งที่กินไปทุกวัน ทั้งคู่เชื่อมั่นว่าอย่างไรเสียมันก็ต้องเจอเนยแข็งทุกที เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ ก็โวยวายว่าใครเคลื่อนย้ายเนยแข็งของพวกเขาไปๆและตะโกนร้องว่ามันไม่ยุติธรรม
พวกเขาจะต่างจากหนูตรงที่ว่า เขาคิดว่าเนยแข็งมีความสำคัญกับเขาอย่างยิ่ง และไม่ได้วางแผนไว้เลยว่า ถ้าไม่มีเนยแข็งแล้วจะทำอย่างไร พวกเขาเชื่อว่าเนยแข็งที่หายไป คงต้องมีใครสักคนมาแกล้งแน่ ๆ และคิดว่าเจ้าหนูทั้งสองตัวคงตกระกำลำบากเหมือนกัน หลายวันผ่านไป จากการที่ HEM และ HAW คิดว่าเนยแข็งต้องอยู่แถวนี้ หรือต้องมีคนนำมาคืน ร่างกายของทั้งสองคนเริ่มเพลียและอ่อนแอลง วันหนึ่ง HAW จึงมีความคิดว่า เราน่าจะลองหาทางเดินในเขาวงกตใหม่ อาจเจอเนยแข็งที่อื่นก็ได้ ในขณะที่ HEM ไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่า ตัวเองแก่เกินไปที่จะไปผจญกับเส้นทางที่ลำบาก ทางที่มืด ซับซ้อน และน่ากลัว และคิดว่าสักวันเนยแข็งจะกลับมาเอง ซึ่งในระยะแรก HAW ก็เห็นด้วยกับความคิดของ HEM แต่ในที่สุด HAW ก็ทนไม่ไหวกับสภาพร่างกายที่อดอยาก คิดจะไปหาเส้นทางใหม่ และเริ่มคิดได้ว่าในชีวิตของเราบางครั้งมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ซึ่งจะไม่มีวันกลับไปเป็นอย่างเก่า ชีวิตต้องเคลื่อนไหวต่อไป HAW จึงตัดสินใจออกไปผจญภัยหาเส้นทางใหม่ เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ความกลัวในความไม่แน่นอนดูจะหายไปและคิดว่าถ้าตัวเองไม่ปรับตัวคงสูญพันธุ์แน่
และแล้ว HAW ก็เริ่มผจญภัย แม้จะเจออุปสรรคบ้าง ท้อแท้บ้าง ลำบากบ้าง เขาก็คิดว่าเขาอยู่ในสถานะที่ดีกว่าอยู่ที่เดิม อย่างน้อยเขาสามารถควบคุมสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเขาอยู่ มิใช่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นกับเขาโดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าเจ้าหนูสองตัวนั้นทำได้ เขาก็ต้องทำได้และเขาก็นึกเสียดายว่าถ้าเมื่อก่อนเขาสังเกตว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับเนยแข็งที่มีปริมาณลดลงและคุณภาพต่ำลง เขาคงเตรียมตัวเผชิญเหตุการณ์ได้ดีกว่านี้ HAW สร้างกำลังใจโดยจินตนาการว่า กำลังนั่งอยู่กลางกองเนยแข็งพะเนินเทินทึก และเป็นเนยแข็งที่แสนอร่อย ยิ่งจินตนาการก็ยิ่งมีแรงจูงใจมากขึ้นทุกที มีกำลังและความคล่องแคล่วมากขึ้นในการค้นหาเส้นทาง และในที่สุด เขาก็พบกองเนยแข็งแหล่งใหม่ที่เขาชอบและได้นำมาฝาก HEM ให้ลองชิม และชักชวนให้ไปสถานีที่เขาพบเนยแข็งแหล่งใหม่กับเขา ซึ่ง HEM ปฏิเสธและบอกว่า เขาชอบเนยแข็งแบบเก่ามากกว่า และจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงจนกว่าจะได้สิ่งที่เขาต้องการ
HAW ส่ายหัวด้วยความผิดหวังและเห็นความจริงอย่างชัดเจนว่า ความกังวลและความกลัวว่าจะไม่มีเนยแข็งที่อื่น และเคยชินกับความคิดว่าอะไรอาจผิดพลาดได้มากกว่าที่จะคิดว่าอะไรที่ไปได้ดี เขาคิดว่าเขาจะต้องอยู่อย่างนั้น การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่เลวร้ายมากกว่าสถานการณ์ที่เขาประสบเสียอีก เขาตระหนักแล้วว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าเราจะคาดคิดว่ามันน่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนั้นจะทำให้เราแปลกใจได้มาก หากเราไม่คาดคิดหรือเตรียมตัวกับมันไว้ก่อน HAW รู้ว่าการกระทำของเขาจะเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อความเชื่อของเขาเปลี่ยนแปลงแล้วเท่านั้น ถ้าเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นอันตรายก็จะต่อต้านมัน แต่ถ้าเชื่อว่าการมองหาเนยแข็งใหม่จะเป็นตัวช่วยปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดผลดี ทั้งหมดนี้ อยู่ที่เราเลือกจะเชื่ออย่างไร สุดท้าย HAW ได้ข้อสรุปจากการเรียนรู้ ดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเสมอ (เนยแข็งจะถูกเคลื่อนย้ายเสมอ) 2. คาดคะเนการเปลี่ยนแปลง (เตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนย้ายของเนยแข็ง) 3. เฝ้าตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง (กลิ่นเนยแข็งจะบอกให้รู้ว่า มันกำลังเก่า) 4. ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (ยิ่งปล่อยวางเนยเก่าเร็วเท่าใด ก็จะชอบรสชาติเนยใหม่เร็วเท่านั้น) 5. เปลี่ยนแปลง (เหมือนเนยที่ถูกเคลื่อนย้าย) 6. มีความสุขกับการเปลี่ยนแปลง (ดื่มด่ำกับการผจญภัยและสนุกกับรสชาติของเนยใหม่) 7. พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความสุขกับมันอีกครั้ง (เนยแข็งจะถูกเคลื่อนย้ายเสมอ) ในแต่ละวัน HAW ก็จะสังเกตว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับเนยแข็งแหล่งใหม่ที่เขาพบไหม เพื่อเขาจะทำอะไรก็ตามที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เจอกับการเปลี่ยนแปลงที่เขาคาดไม่ถึงเหมือนในอดีต และในขณะเดียวกันเขาก็ยังเข้าไปในเขาวงกต เพื่อสำรวจที่แห่งใหม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเขาไหม ซึ่งเขารู้ว่ามันทำให้เขาปลอดภัยกว่าที่จะอยู่ในที่ที่เดียวที่สะดวกสบายอยู่แล้ว ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเรื่องนี้
1. คนส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นเหมือน HEM คือยึดติดกับสิ่งที่มีอยู่หรือความเชื่อที่มีอยู่ และไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งต่างจากหนู 2 ตัวที่จะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง เพื่อความอยู่รอด 2. คนส่วนใหญ่จะกลัวการเปลี่ยนแปลง ซึ่งบางครั้งหลายคนก็ไม่เคยรู้ว่าตัวเองกลัวการเปลี่ยนแปลง 3. บางคนไม่เคยเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ตัวเองปฏิบัติอยู่เลย และยอมที่จะเสียเงินหรือเป็นเหยื่อให้กับสิ่งนั้น 4. การรู้จักคิดเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ก่อน ดีกว่าการพยายามตอบโต้หรือปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น 5. ความเชื่อบางอย่างหลายคนก็ไม่อยากที่จะเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงแล้วมันดีขึ้น ก็ย่อมจะดีกว่า 6. ความต้องการใหม่ๆ ในชีวิต (New Cheese) หลังการเปลี่ยนแปลงที่จะทำควรชัดเจนและสามารถเป็นจริงได้ ก็จะทำให้เกิดพลัง สนุกกับการเปลี่ยนแปลง และประสบความสำเร็จ 7. พฤติกรรมเก่าๆ ที่ทำให้ความสัมพันธ์กับบุคคลหนึ่งมันแย่ เปรียบเหมือน Old Cheese ควรปล่อยมันทิ้ง และมาคิดเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเสียใหม่ ซึ่งเป็นเสมือนNew Cheese เพื่อให้ความสัมพันธ์มันดีขึ้นกับบุคคลนั้นๆ 8. การเปลี่ยนแปลงสามารถนำคุณไปสู่สถานที่ใหม่ และดีกว่าเดิม 9. หลังจากคุณได้ผ่านความกลัวมาได้ คุณก็จะรู้ว่า มันมีสิ่งที่คุณต้องการ (New Cheese) รอคุณมาพบ 10. การสร้างภาพความต้องการของคุณในใจ (New Cheese) มันจะเป็นเหมือนแรงจูงใจที่ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นและทำอะไรได้ดีขึ้น 11. ชื่อของตัวละครทั้ง 4 ตัว สื่อความหมายได้ดังนี้
Sniff หมายถึง ดมกลิ่น หนูมันจะหาเนยแข็งโดยการดมกลิ่นไปเรื่อยๆ ซึ่งมันจะทราบการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อนำมาปรับใช้แล้ว เราก็ควรเป็นคนช่างสังเกตว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างในแต่ละวัน
Scurry หมายถึง การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หนูนอกจากดมกลิ่นเก่งแล้ว จะต้องพร้อมที่จะเคลื่อนไหวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว เมื่อนำมาปรับใช้แล้วเราควรเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเคลื่อนไหวได้ก่อนเราก็จะเจอของดีก่อน
Hem หมายถึง ตะเข็บกระโปรง ที่ถูกสอยด้วยด้ายเพื่อยึดติดผ้าให้แน่น ซึ่งตัวละครที่ชื่อ Hem จะมีบุคลิกลักษณะที่เป็นคนยึดติดอยู่กับความเชื่อเก่า ๆ และไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นจึงไม่ควรยึดติดกับความเชื่อเก่า ๆ ที่มีอยู่ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำหรับการที่จะคิดเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง
Haw หมายถึง ลังเล ซึ่งตัวละครที่ชื่อ Haw จะมีบุคลิกลักษณะนี้ คือลังเล ไม่ค่อยกล้าที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงไปหาเนยแข็งแห่งใหม่ในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดี ยิ่งเปลี่ยนแปลงได้เร็วเท่าไร ก็สามารถที่จะค้นพบสิ่งใหม่ ๆที่ดีกว่าเร็วมากขึ้นเท่านั้น
12. ในเนื้อเรื่อง คำว่า Cheese สำหรับคนแคระทั้งสองคน จะเป็นขึ้นต้นด้วย C ตัวใหญ่ ซึ่งนอก จากหมายถึง เนยแข็งที่เป็นอาหารแล้ว ยังสื่อถึงความต้องการอื่น ๆ มากมายที่คนต้องการแล้วมีความสุข เช่น ความมั่นคงในชีวิต เงิน บ้านหลังใหญ่ อิสรภาพ สุขภาพที่ดี ฯลฯ ซึ่งก็ต้องเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง (Change)มากมาย ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การที่เราจะให้ได้มาหรือรักษาความต้องการต่าง ๆของเรานั้น เราก็ต้องรู้จักที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อต่าง ๆ ซึ่งต่างจากหนู ที่คำว่า cheese ขึ้นต้นด้วย c ตัวเล็ก มันหมายถึง เนยแข็งที่เป็นอาหารอย่างเดียว ดังนั้น เมื่ออาหารของมันหมด มันก็รู้จักที่จะเปลี่ยนแปลงไปหาอาหารที่แห่งใหม่
13. ในการเปลี่ยนแปลงนั้น บางครั้งก็ต้องเสี่ยงเดินไปในหนทางที่มันมืด คือต้องกล้าได้ กล้าเสีย เพื่อจะได้ในสิ่งที่มันใหม่และดีกว่าเดิมก่อนคนอื่น Have a nice day

ยามจนอย่าอยากมี ยามมีก็ควรประหยัด

เงินทองแม้เป็นของนอกกาย แต่การรู้จักใช้รู้จักจ่ายเป็นเรื่องเหมาะสม
เงินทองไม่เข้าใครออกใคร หามาก็รู้จักเสียดายยามจ่าย แต่ไม่ใช่ขี้เหนียวไม่จ่ายเลย
เงินทองต้องรู้จักบริหารมันจึงจะมีเก็บ อย่าเห็นช้างขี้ก็ขี้ตามช้างเพราะจะหมดตูดเอา

ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร

คำกล่าวที่ว่า "ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร" อาจจะจริงเพราะในวันนี้ในโลกการแข่งขัน ไม่ว่าจะเชิงการเมือง หรือเชิงธุรกิจที่ผลประโยชน์มาก่อน ยิ่งตอกย้ำว่าคำกล่าวนี้เป็นจริง ยิ่งสัมผัสกับตัวยิ่งเห็นว่า มนุษย์หลายคนมองกันแต่เพียงผลประโยชน์อย่างเดียว เมื่อต้องเจออะไรเพียงลำพังถึงจะซึ้งถึงคำ ๆ นี้

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ต้องหนักแน่น ต้องเข้มแข็ง อย่าอ่อนแอ ใครจะใส่หน้ากากมาก็อย่าโกรธอย่าว่าเขาเลย
คนมันก็ทำเพื่อตัวเอง หากเราเข้าใจว่าการจะมีความสุขได้ คนอื่นเขาต้องมีความสุขด้วย สุขแบ่ง ๆ กัน

สอนใจตัวเองว่าอย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน เพราะจะจนใจเอง อะไรผ่านมาผิดไปพลาดไป ก็ถือว่าทำบุญ
สมองเรามี ปัญญาเรามี ก็สู้ ๆ มันไป

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552

คนตระหนี่ แร้งน้ำใจแม้เป็นญาติก็ไม่ควรคบ

ในการคบหากันในหมู่พี่น้องแม้จะตัดไม่ตาย ขายไม่ขาดก็เถิด
แต่หากพี่น้องของเราตระหนี่กับเรา ทำตัวแร้งน้ำใจ จะเอาเปรียบอย่างเดียว
แม้จะคบก็ควรคบห่าง ๆ เป็นเพียงญาติห่าง ๆ เพราะรังแต่จะนำความเดือดร้อน
ทั้งกายและใจมาให้ น้ำใจคนเป็นเรื่องสำคัญไม่ว่าใครหากเค้ามีน้ำใจเราก็ควร
มีน้ำใจตอบ หากแล้งน้ำใจมาก็ควรแล้งน้ำใจตอบ

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2552

น้ำขึ้นให้รีบตัก

ช่วงหลังมานี่รู้สึกมั่นใจมากขึ้นในเรื่องงานนะ เพราะช่วงนี้งานเข้าเยอะมาก
แต่ก็ไม่ประมาทดีกว่าเพราะโลกกลม ๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งคนอื่นโดนพิษ
เศรษฐกิจกันเข้าไปเจ็บไปตาม ๆ กัน เราจะมาทำตัวว่าสบายเดี๋ยวเค้าหมั่นไส้
คนชอบจะเอาเปรียบเราก็เยอะ

ศึกษาหาความรู้ใส่สมองเพิ่มดีที่สุด งานยาก ๆ รอเราอยู่ เพียงต่อไปตรวจตัวเอง
เรื่องรายรับรายจ่ายดี ๆ มีวินัยการเงิน รักและสนุกกับงานที่ทำ แต่ก็ไม่ให้พวกเอาเปรียบ
มาเอาเปรียบมากไปก็คงพออยู่ต่อไปบนโลกยุ่ง ๆ ใบนี้ได้ ห่วงแต่ก็ลูกกับเมีย

จริง ๆ ช่วงที่มีเวลาคองต้องสอน ๆ งานเมียเรื่องคอมพิวเตอร์บ้าง