วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีอยู่ร่วมกับคนที่เราไม่ชอบ

ไหมว่า...เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี
รู้ไหมว่า...เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี

ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก
จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆ ตื่นๆ
อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง
หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้
ริษยาเจ้านาย ใส่ไคล้ลูกน้อง
ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว)
คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่า
อะไร คือ สิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง
คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน

ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า
น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง
ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
ฆ่าชีวา คือ พร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด
คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ
ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส
กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเหนื่อย
แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมา
เพื่อที่จะชอบ หรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบ หรือมาชัง

แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้
เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ

เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น
หันกลับมามองตัวเองดีกว่า
ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร
มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ
นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า
เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง

คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง
ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้

เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่น
ก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า

บางที คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น
เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียว
ด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย

วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้
ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย
ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า

คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อม
หรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก
เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี
ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม

อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิด...
ปล่อยวางเสียบ้าง ความโกรธ ความเกลียดนั้น

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หนทางชีวิต 14 สุดยอด ....

1.ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด คือ ตัวเราเอง
2.ความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ การทะนงตน
3.ปัญญาอ่อนที่สุด คือ โกหก
4.น่าเศร้าใจสุด คือ อิจฉาริษยา
5.ความผิดที่ร้ายแรงที่สุด คือ ปล่อยตัวปล่อยใจ
6.โทษทัณฑ์ที่หนักที่สุด คือ ดูถูกตนเองและหยามผู้อื่น
7.น่าสงสารที่สุด คือ เหยียดหยามตัวเอง
8.น่านับถือยกย่องที่สุด คือ ความมานะหมั่นเพียร
9.ล้มละลายหนักที่สุด คือ สิ้นหวัง
10.ความรำรวยที่มั่นคงที่สุด คือ สุขภาพแข็งแรง
11.หนี้สินที่ใหญ่ที่สุด คือ หนี้บุญคุณ
12.ของขวัญที่ดีที่สุด คือ ให้อภัย
13.ความขัดสนที่มากที่สุด คือ มีแต่ความรู้สึกเศร้าหมอง
14.ความสุขที่มากที่สุด คือ การให้ทาน

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อำนาจเงิน ในสังคมสมัยใหม่

เรื่องเล่าอยู่ในหนังสือ “เกร็ดธรรมะจากเกร็ดชีวิตของพุทธทาสภิกขุ” ว่ามีภริยาของผู้มีอำนาจวาสนาในสมัยที่ท่านอาจารย์พุทธทาสยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่ง ไปสวนโมกข์พร้อมผู้ติดตาม และเข้าไปกราบท่านอาจารย์พร้อมกับถามว่า จำเธอได้หรือไม่ ท่านอาจารย์ตอบตามตรง แบบสั้น ๆ เรียบ ๆ แล้วก็นิ่งเฉยตามปกติของท่านว่า “จำไม่ได้” ผลคือสตรีผู้นั้นโกรธ ลุกกลับออกมา พร้อมพูดกับผู้ติดตามว่า เธอได้ถวายเงินทำบุญบำรุงวัดไปเป็นจำนวนมากเมื่อคราวพบกันครั้งแรก (ควรจะจำเธอได้นี่นา) แถมทิ้งท้ายเสียงดังพอที่คนอยู่ละแวกหน้ากุฏิจะได้ยินว่า ในเมื่อจำไม่ได้ คราวนี้จะไม่ถวายแล้ว โดยนัยคือ การจำความสำคัญของเธอไม่ได้ ทำให้ท่านอาจารย์อดได้เงินทำบุญจากเธอผู้นั้น

แม้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะชวนให้ “ขำกลิ้ง” ในวิธีคิดของสตรีผู้นั้น แก่ผู้ฟังที่รู้จักธรรมะและวัตรปฏิบัติของท่านอาจารย์พุทธทาส แต่เรื่องนี้ก็สะท้อนให้เราเห็นว่า คนในสังคมปัจจุบัน มักคิดและเชื่อมั่นว่า “เงิน” เป็นอำนาจซึ่งทำให้คนทั่วไปต้องสยบยอม เอาใจอย่างปราศจากข้อแม้ ไม่เข้าใจว่า แท้ที่จริงนั้น เงินมีอำนาจอยู่บนฐานความคิดความเชื่อบางอย่าง ดังนั้น ผู้ที่ปฏิเสธหรือมิได้สมาทานความเชื่อดังกล่าว เงินจึงมีความหมายน้อยและมีอย่างจำกัดขอบเขตด้วย ในกรณีของท่านอาจารย์พุทธทาสที่เล่ามานั้น อำนาจเงินมีความหมายน้อยอย่างยิ่ง เพราะความสุขของท่าน ไม่ต้องใช้เงินซื้อและมีความหมายอันกว้างขวาง หลายมิติ มิได้ผูกติดอยู่กับเงื่อนไขทางวัตถุแต่เพียงอย่างเดียว คือ เมื่อมีปัจจัยสี่เพียงพอแก่การยังชีวิต มิให้ลำบากขาดแคลนแล้ว ท่านก็แสวงหา–สร้างและมีความสุขอันละเอียดประณีตจากการพัฒนาจิตวิญญาณ ด้วยการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ศึกษาเรียนรู้กฎแห่งธรรมชาติ เพื่อจะมีความสุขอย่างอิสระ โดยอาศัยปัจจัยภายนอกไม่ว่าเงินหรือวัตถุอื่นให้น้อยที่สุด ตามคติของชาวพุทธ แล้วปันส่วนที่เกินให้แก่ผู้อื่น อีกทั้งกิจการภายในวัดเอง ก็มิได้ตั้งอยู่บนฐานคิดของการใช้เงินเป็นหลัก หากขยายตัวไปตามปัจจัยที่มีอยู่ จึงไม่มีการเรี่ยไร ตั้งกล่องบริจาค ฯลฯ การไม่ให้ความสำคัญกับหาเงินหรือเติบโตบนเงื่อนไขพึ่งพาเงินใครนี้ ทำให้ไม่มีผู้ใดมีอำนาจพิเศษ ไม่ว่าเศรษฐี ตาสีตาสา นักศึกษา พระลูกชาวบ้าน ฯลฯ มาพบท่านอาจารย์ได้ตลอดเวลาหน้ากุฏิ

อำนาจเงินนั้น ทำงานและมีพลังบนฐานความเชื่อเกี่ยวกับ “ความสุข” ของบุคคล คือมีอิทธิพลต่อผู้ที่เชื่อว่า เงินเป็น “คำตอบสุดท้าย” หรือ-เป็นคำตอบเดียวของ “ความสุข” หมายความว่าต้องมีเงินจึงมีความสุข ถ้าไม่มีเงินก็ไม่มีความสุข เมื่อ “ความสุข” ถูกสรุปด้านเดียวแบบหยาบ ๆ จากคนในสังคมสมัยใหม่โดยไม่ต้องถามไม่ต้องคิดดังนี้ เงินจึงมีอำนาจมหาศาลเหนือผู้คนทุกวงการในปัจจุบัน เพราะมนุษย์ล้วนปรารถนา “ความสุข” และแสวงหาความสุขตามความเชื่อนั้น และดูว่าจะมีพลังมากกว่าอำนาจอาวุธ–เผด็จการทหาร ซึ่งใช้ความกลัวเป็นตัวบังคับข่มขู่ให้คนทำตามด้วย การต่อต้านอำนาจอย่างหลังนี้เกิดขึ้นได้ง่าย แต่อำนาจเงินใช้ “ความสุข”เป็นตัวล่อ ตัวหลอก การสยบยอมต่ออำนาจเงินและอำนาจอื่นที่พ่วงตามมากับเงิน จึงมักเป็นไปด้วยความสมัครใจ เต็มใจ อำนาจเงินจึงสามารถกวาดซื้อทุกอย่างที่ขวางทางได้โดยไม่ยากในทุกวงการ แม้ในวงการที่มีหลักการยุติธรรม ความดีงามเป็นหัวใจ ไม่ว่าตุลาการ ตำรวจ แพทย์ ครู ผู้บวช รวมไปถึงการซื้ออุดมการณ์ใส่ลิ้นชัก

อย่างไรก็ตาม พลังอำนาจของเงินในสังคมสมัยใหม่ ก็มิได้ครอบครองเหนือบุคคลและกลุ่มคนทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง จนไร้ความหวัง ที่จะไปพ้นจากสังคมที่อำนาจเงินเป็นใหญ่ หากเข้าใจว่าสังคมที่ว่านี้ เกิดและเติบโตได้มากภายใต้อุดมการณ์เศรษฐกิจแบบ “จำเริญเติบโต” (growth) คือมุ่งการเพิ่มและขยายรายได้(เงิน)ไม่ว่าในระดับปัจเจกบุคคลหรือของรัฐ การพัฒนาของรัฐที่ผ่านมากว่า ๔๐ ปี ได้สร้างมายาคติทำให้การมีชีวิตรอด ไม่ว่าในเมืองหรือชนบทมีอยู่ทางเดียว คือปัจเจกบุคคลจะต้องหาเงินให้มาก ๆ แล้วเอาเงินไปบันดาล “สุข” อันหมายถึง ความสุขทางวัตถุ ด้วยสูตร “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” (ซึ่งเวลาต่อมาเปลี่ยนไปเป็นว่า งานไม่ต้องทำก็มีเงินได้ หรือทำอย่างไรก็ได้ให้ได้เงิน) ความสุขในรูปแบบ-อื่น ๆ ที่เคยมีอยู่ในสังคมไทย เช่น ความสุขจากการมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อแบ่งปันให้กัน ความอบอุ่นในครอบครัว–ชุมชน การสร้างสรรค์งานศิลปะ ฯลฯ ได้ถูกทำลายราบด้วยสูตร “ความสุข” ของรัฐ ซึ่งเป็นนายหน้าให้แก่ทุนนิยมโลกและวัฒนธรรมบริโภคนิยม–วัตถุนิยม สร้างตลาดซื้อขาย “ความสุข” ที่ต้องใช้เงินซื้อทั้งสิ้น คนเป็นอันมากเชื่อและวิ่งล่าหาความรวยเพื่อมาสร้างความสุขตามสูตรของรัฐ จนกระทั่งสูญสิ้นไร่นา ป่าเขาถูกทำลาย ครอบครัวแตกแยกเพราะพ่อแม่เอาแต่หาเงิน อบายมุข ยาเสพติด คอร์รัปชั่น ฯลฯ ล้วนขยายตัวบนพื้นฐานความแร้นแค้นและความโลภอยากรวย

ความอยุติธรรมทางเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม และความทุกข์ในชีวิตปัจจุบัน จึงผูกโยงอยู่กับโลกทัศน์และค่านิยมเกี่ยวกับชีวิตและความสุขของบุคคลในสังคมด้วย การจะลดทอนอำนาจเงินและอำนาจรัฐในสังคมไทย ทางหนึ่งคือการส่งเสริมและเปิดทางให้ชุมชนได้นิยามและสร้าง “ความสุข–ความเจริญ” ตามแบบของตนเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนรัฐ เพราะตราบใดที่ยังต้องวิ่งไล่ตามสูตรการพัฒนาของรัฐ(การตลาด) ก็จะยิ่งจนและอำนาจเงินก็จะยิ่งแผ่อิทธิพลมากยิ่งขึ้นบนความยากจนนั้น ในส่วนของปัจเจกบุคคล การต่อสู้กับอำนาจเงิน แท้จริงก็คือ การต่อสู้กับความโลภภายในใจของเราเอง ซึ่งจุดติดง่ายท่ามกลางแรงโฆษณา “ความสุข” ที่ชี้นำแต่ความสุขแบบหยาบ ๆ จะสู้ชนะหรือแพ้ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนตนเองที่จะใช้เงินบันดาลสุขแต่เพียงพอดี ที่สำคัญที่สุดคือ รู้จักการสร้างและมีความสุขในมิติอื่นด้วย การดูวิถีชีวิตและความสุขของกัลยาณมิตรเช่น ท่านอาจารย์พุทธทาส ก็เป็นทางหนึ่งของการสร้างกำลังใจ และความรู้เท่าทันในการต่อสู้กับอำนาจ-เงิน

แน่นอนว่า ผู้มีชีวิตครองเรือน คงทำเหมือนบรรพชิตมิได้ทั้งหมด แต่คฤหัสถ์ก็สามารถมีความสุขจากวิถีชีวิตที่ “ไม่รวย” ได้เช่นกัน ดูดังชีวิตของ อ.ป๋วยและอีกหลาย ๆ ท่านเป็นตัวอย่าง หรือให้ใกล้เข้ามาอีก ก็ดูความสุขของเด็ก ๆ เมื่อเขาจับกลุ่มเล่นกัน หัวเราะเอิ๊กอ๊ากโดยไม่ต้องใช้เงินสักบาท.

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Hot spot คืออะไร



จะดีแค่ไหนถ้าคุณสามรถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้อย่างสะดวกทุกท

นับวันเทคโนโลยีต่างๆได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงเทคโนโลยี Wi-Fi ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานตามบ้าน ที่ทำงานหรือแม้แต่ตามสถานที่ทั่วไป เช่น โรงแรมมม , สนามบิน , โรงพยาบาล , ศูนย์การค้า , รีสอร์ท , คอฟฟี่ช๊อป ฯลฯ สังเกตได้จากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ได้พากันทยอยออกผลิตภัณฑ์ที่รองรับกับเทคโนโลยีไร้สายนานาชนิด คาดการณ์กันว่า ในอนาคตอันใกล้นี้เทคโนโลยีการเชื่อมต่อจากเครื่องลูกข่ายเพื่อเข้าระบบเน็ตเวิร์กแบบมีสาย จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีไร้สายอย่างแน่นอน เนื่องจากมีความสะดวกสบาย ความคล่องตัวในการใช้งานสูงง่ายในการติดตั้งโดยไม่ต้องลากสายให้เกะกะ สามารถใช้งานได้ทุกที่เหมาะกับการนำมา ใช้ชีวิตประจําวัน ที่ไม่ต้องต่อสายให้ยุ่งอยากอีกทั้งอุปกรณ์ที่ใช้งานก็เริ่มถูกลงมาเรื่อยๆ เทคโนโลยี Wi-Fi กําลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ



ก่อนจะเข้าเรื่อง Hotspot เรามาดู กันก่อนว่า Wi-Fi คืออะไร และเทคโนโลยีนี้จะช่วยทำให้ชีวิตของคุณสะดวกสบายและง่ายขึ้นได้อย่างไร

Wi-Fi (Wireless Fidelity) เป็นคำติดปากที่คนนิยมเรียกกัน หรือก็คือ Wireless LAN นั่นเอง เป็นการสื่อสารด้วยระบบไร้สาย บนเทคโนโลยี IEEE 802.11 โดยที่จะทำงานภายใต้คลื่นวิทยุ 2.4 GHz ซึ่งอุปกรณ์ทุกตัวซึ่งต่างยี่ห้อกันนั้นมันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่มีปัญหา ภายใต้มารตฐานเดียวกัน โดยจะมีการออกเป็น WIFI certified ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นสามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ตัวอื่นที่มีตรา WIFI certified นี้ได้เช่นกัน ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีดังกล่าวได้ออกมา 3 ความเร็วด้วยกันคือ

- 802.1a ทำงานด้วยความถี่ 5 GHz ที่อัตราความเร็วข้อมูล 54 Mbps (แต่ไม่นิยมใช้งานในประเทศไทย )
- 802.1b ทำงานด้วยความถี่ 2.4 GHz ทึ่ความเร็ว 11 Mbps
- 802.1g ทำงานด้วยความถี่ 2.4 GHz ทึ่ความเร็ว 54 Mbps


ในยุคสมัยนี้การที่เราจะเล่น อินเตอร์เน็ตขณะอยู่นอกบ้านนั้นเราสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ที่สามารถต่อเข้ากับเน็ทเวิร์คหรืออินเตอร์เน็ทความเร็วสูงได้? โดยไม?ต?องใช?สายโทรศัพท?หรืออุปกรณ?ใดๆ ให?ยุ?งยาก ซึ่งที่ผมจะกล่าวถึงต่อไปนี้คือ Hotspot เป็นเทร์นใหม่ที่กำลังมาแรงสุดๆในขนะนี้ เราสามารถยก office ไปนั้งทำงานตามร้านกาแฟลอ๊บบี้โรงแรม , ห้องอาหารหรูๆได้อย่างสบายๆ เพราะข้อมูลงานต่างๆของเรานั้นก็เก็บไว้ใน Notebook ของเราอยู่แล้ว แบบประมาณว่าจัดประชุมนัดลูกค้ามาคุยกันนอกสถานที่เลยก็ได้ คราวนี้มาดูกันว่า Hot spot มันมาเกี่ยวโยงกับ Wi-Fi ได้อย่างไร

Hotspot คือ บริการอินเตอร์เน็ตไร้สายแบบสาธารณะความเร็วสูง ด้วยเทคโนโลยีของ Wireless LAN หรือ ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้บริการกันมากขึ้นเรื่อยตามแหล่งธุรกิจ อาทิ สนามบิน โรงแรม ร้านอาคาร ศูนย์การค้า โรงพยาบาล และ อาคารสำนักงาน โดยใช้เทคโนโลยีบรอดแบนด์ผสมผสานกับเทคโนโลยีไรสาย (WI-FI ) ทำให้คุณออนไลน์ได้ทุกที่ , รับส่งอีเมล์ , ดาวน์โหลดข้อมูล หรือติดต่อธุรกิจกับใครๆได้อย่างสะดวกสบายในสถานที่ที่บริการ Hot Spot แต่ Hot Spot ในบ้านเรายังค่อนข้างใหม่ ทำให้อัตราค่าบริการยังค่อนข้างสูงมากทีเดียว จุดให้บริการก็เริ่มทยอยเปิดกัน ซึ่งในอนาคตอันไกล้นี้ค่าบริการจะก็ถูกลงด้วยสาเหตุจากการแข่งขันด้านราคากันอย่างหลีกไม่พ้น

อุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยี Wi-Fi เช่น คอมพิวเตอร์ Laptops หรือ PDA สามารถรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายไร้สายได้จากจุดบริการที่มีการติดตั้ง Hotspot ก็สามารถใช้บริการอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงได้ทันที ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับ/ ส่งข้อมูลต่างๆ ทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่พลาดโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจ และข่าวสารจากทั่วทุกมุมโลก


รูปแสดงของการให้บริการ Hotspot ทั้งชนิด Wire และ Wireless และ สามารถให้บริการแก่ผู้ใช้ทั้งชนิด PRE-PAID และ POST-PAID


รูปการให้บริการ HOTSPOT บริเวณล๊อบบี้ของโรงแรม

ข้อดีของระบบ WLAN และ Hotspot

o ติดตั้งง่ายทำให้สะดวกและลดภาระการเดินสาย
o ลดความยุ่งยาก และเหมาะกับบริเวณที่มีสถานที่ไม่กว้างนักและไม่เหมาะต่อการเดินสาย สามารถปรับเปลี่ยนหรือขยายได้ตามความเหมาะสมในการใช้งาน
o ติดตั้งง่ายทำให้สะดวกและลดภาระการเดินสาย
o ลดค่าใช้จ่ายด้านการวางเครือข่าย
o ทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้เป็นอย่างดี อาทิ โน้ตบุ๊ค พีซี และพีดีเอ

ประโยชน์ของ Hotspot
o มีความสะดวกสบาย ความคล่องตัวในการใช้งานสูง
o รับส่งอีเมล์ , ดาวน์โหลดข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
o ไม่พลาดโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจ และข่าวสารจากทั่วทุกมุมโลก
o ผู้ใช้สามารถรับ/ ส่งข้อมูลต่างๆ ทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา
o สามรถกำหนดค่าบริการได้ทั้งแบบ PRE-PAID และ แบบ POST-PAID ( จ่ายก่อนใช้งาน) , ซึ่งอาจจะคิดเป็นราคาต่อนาที , ต่อชั่วโมง หรือเหมาจ่ายเป็นรายวันก็ได้ หรือการคิดค่าบริการแบบ POST-PAID คือการเล่นก่อนจ่ายทีหลัง(ซึ่งจะแหมาะสำหรับผู้เช่าพักตามโรงแรม หรือเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์)

เมื่อนำไปใช้กับสถานประกอบการ

o เพิ่มคุณภาพและการบริการที่ดี อาทิเช่น โรงแรม หรือ ร้านคอฟฟี่ชอฟ ทำให้ดึงดูดมีลูกค้ามาใช้บริการมากขึ้น
o มูลค่าของค่าเช่ าเพิ่มขึ้น ทำให้อาคารของคุณได้เปรียบคู่แข่งอื่น ๆ
o เพื่อจูงใจให้ลูกค้ามาใช้บริการมากยิ่งขึ้น เนื่องจากกรให้บริการที่ทันสมัย
o มีรายได้จากการให้บริการ ซึ่งเป็นการช่วยสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นอีกทาง

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หลัก ๔ ประการ พุทธบริษัทที่แท้จริง

พระอริยสงฆ์สาวกที่แท้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ปฏิบัติตัวตามหลัก ๔ ประการ คือ

๑. สุปฏิปันโน เป็นผู้ประพฤติดี ถ้าจะทำอะไรก็มุ่งความดีเป็นที่ตั้ง คือ ทำให้ถูกดี ทำให้ถึงดี ทำให้มีดี ถ้าจะพูดอะไรก็ต้องพูดให้ถูกดี พูดให้ถึงดี พูดให้มีดี หรือถ้าจะคิด ก็คิดในทางดี ทำดี มีเมตตา ไม่คิดร้ายทำลายใคร

๒. อุชุปฎิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติตรงไปตรงมา ไม่หน้าไหว้ หลังหลอก ทำนอง “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก” โดยสรุปก็คือประพฤติปฏิบัติตัวให้ตรงกับศีลธรรม ฐานะ และเพศภาวะของตน

๓. ญายปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติถูกทาง คือปฏิบัติเพื่อมุ่งกำจัดกิเลสให้เบาบาง และหมดไปในที่สุด มิได้ปฏิบัติเพื่อมุ่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่ประการใด

๔. สามีจิปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติเหมาะสมแก่การเข้าใกล้สมควรแก่การกราบไหว้บูชา เป็นที่น่าเชื่อถือ เชื่อมือ เชื่อใจ เพราะได้พัฒนากาย วาจา ใจ ให้สะอาดปราศจากพิษภัย มีชีวิตประเสริฐยิ่งกว่าคนทั่วไป เช่น ชาวโลกอยู่ด้วยความโลภ แต่พระอยู่ด้วยความเสียสละ ชาวโลกอยู่ด้วยความโกรธ แต่พระอยู่ด้วยความเมตตา ชาวโลกอยู่ด้วยความหลง นั่นก็ของเรา นี่ก็ของเรา แต่พระอยู่ด้วยการปล่อยวาง มองสิ่งต่างๆ ล้วนเป็นความว่างไปทั้งสิ้น

หากชาวพุทธมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะประจำใจอย่างนี้แล้ว จะได้ชื่อว่าเป็น “พุทธบริษัทที่แท้จริง”

เนื้อหาแง่คิดจากการอบรมเสริมพลังให้กับการทำงาน

อามิสทาน คืออะไร

การบริจาคหรือการเสียสละทรัพย์สินเงินทองข้าวของ

ตลอดทั้งกำลังกายและสติปัญญาความรู้ความสามารถของตนเอง

เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ด้วยคุณธรรมคือ เมตตา กรุณา มุทิตา พรหมวิหาร

การเสียสละวัตถุสิ่งของหรือสิ่งที่เนื่องกันเช่นกำลังกาย

สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ เป็นต้น เหล่านี้เรียกว่า อามิสทาน

เมื่อเราบริจาคหรือเสียสละไปแล้ว เป็นกุศลคุณความดี มีอานิสงส์หรือมีผลอย่างไร ?

มีผลเกิดขึ้นทั้งในทางจิตใจของเราและมีผลที่เรียกว่าเป็นวิบาก

คือจะมีผลของกรรมนี้ให้บังเกิดผลแก่ตน ถ้าจะว่าถึงคุณความดีคือทานหรือจาคะ

คือการเสียสละเช่นนี้ เมื่อมีการเสียสละไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น

ประการแรกที่เห็นชัดเจนคือ ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีจิตใจกว้างขวาง

เปี่ยมด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา แก่สรรพสัตว์โลกอื่น

คุณธรรมนี้เกิดขึ้นแล้วในใจและมีปกติเป็นผู้มีจิตใจที่ถูกชำระความตระหนี่ เหนียวแน่น

ความเห็นแก่ตัว จำเพาะตัว จำเพาะตน จำเพาะหมู่เหล่าให้หมดสิ้นไป

การให้ธรรมและการให้อภัยเป็นทาน ชื่อว่า ธรรมทานและอภัยทาน

ในพระธรรมบทพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ สพพทานํ ธมมทานํ ชินาติ ธรรมทานชนะการให้ทานอื่นทั้งปวง


อย่างไรจึงเรียกว่า ธรรมทาน ?
ปฏิบัติธรรมเองเพื่อชำระกิเลสออกจากกาย วาจา ใจของตนเอง

ตั้งตนอยู่ในคุณความดี เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น เรียกว่าแจกธรรมะ

ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ที่ดำเนินชีวิตประจำวันพูดแต่คำพูดไม่ดี ทำแต่กรรมที่ไม่ดี

คิดแต่ความคิดที่ไม่ดีมาตลอด ประพฤติปฏิบัติตัวอย่างที่เลวแก่ผู้อื่น

ชื่อว่าแจกอธรรม ธรรมทานต้องปฏิบัติเองเพื่อละชั่ว ทำดี ทำใจให้ใส

เพื่อชำระกิเลสหยาบ กลาง และละเอียดๆ ยิ่งขึ้นไปถึงวิสุทธิ

คือ ความบริสุทธิ์แห่งใจ แล้วจึงจะพบสันติสงบ

และจะถึงนิพพานคือความดับกิเลสไม่มีเหลือ จ

ะถึงนิพพานต้องเป็นลำดับจนถึงที่สุดอย่างถาวรนี่เรียกว่าธรรมทาน

เบื้องต้นเป็นปฐมคือทำความดี ละชั่ว ทำใจให้ใสเองทั้งหมด และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น

แล้วยังให้การแนะนำสั่งสอนอบรมผู้อื่น'

ให้ประพฤติปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามพระธรรม พระวินัย

และสนับสนุนอุปการะแก่ความประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเช่นนั้นของบุคคล

หรือคณะบุคคล ผู้ที่กำลังเพียรประพฤติปฏิบัติธรรม

เพื่อชำระกิเลสแห่งทุกข์นั้นให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

ตรงนี้ก็ยิ่งด้วยธรรมทานไปอีก


อย่างไรเรียก อภัยทาน ?
ก็เมื่อบุคคลเจริญธรรมขึ้นด้วยทานกุศล ศีลกุศล และภาวนากุศล

เพื่อละชั่ว ทำดี ฝึกอบรมจิตใจให้ผ่องใสและอบรมปัญญาให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นเพียงใด

ความเข้าใจ ความซึ้งใจในบาปบุญคุณโทษก็เจริญมากขึ้น

และพรหมวิหารธรรมอันมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็เจริญขึ้นเป็นบุญบารมี

เป็นเมตตาบารมี และ อุเบกขาบารมี อุปบารมี และ ปรมัตถบารมียิ่งขึ้นเพียงนั้น

ความเห็นอกเห็นใจเข้าใจในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของสัตว์โลก

ผู้ยังมีจักษุอันมืดบอดด้วยความหลงผิด จึงคิดผิด พูดผิด ทำผิดๆ

ในเราก็มีมากขึ้น ความรักปรารถนาให้สัตว์โลกเป็นสุข

ด้วยเมตตาพรหมวิหารธรรม และความเวทนาสงสาร

ปรารถนาให้สัตว์โลกให้พ้นจากความทุกข์ด้วยกรุณา พรหมวิหารธรรม

แม้จะถูกกร้าวร้าว ปรามาส ล่วงเกิน และถูกก่อกรรมทำเข็ญแก่ตนมาแล้วมาก

จากทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตเพียงใด ย่อมไม่ติดใจโกรธพยาบาทยิ่งขึ้น

และสามารถอดทน อดกลั้นต่อความก้าวร้าว ปรามาส ล่วงเกิน ความเบียดเบียน

จากสัตว์โลกทั้งหลายผู้ล่วงเกิน และผู้เบียดเบียนโดยรอบทั้งหลายเหล่านั้น

ได้มากขึ้นเพียงนั้น จนถึงวางใจเป็นอุเบกขาไม่ยินดี ยินร้ายได้มั่นคง

นี้ชื่อว่า อภัยทาน จัดเป็นทานอันเยี่ยมยอดไปอีก

วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ต้องมาค้างต่างจังหวัดกับที่ทำงาน




คิดถึงน้องสมาร์ทกับม่าม้ามาก ๆ อยากกลับไ์ปนอนกอดน้องสมาร์ทกับมาม้า

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

QR CODE

QR Code คืออะไร คิวอาร์โค้ด
คิวอาร์โค้ด (อังกฤษ: QR Code) เรียกว่าบาร์โค้ด 2 มิติ คือรหัสชนิดหนึ่งซึ่งสามารถเก็บข้อมูลได้ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมขาวดำ นิยมใช้เก็บข้อมูลสินค้า เช่น ชื่อสินค้า ราคาสินค้า เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ และชื่อเว็บไซต์

คิวอาร์โค้ด เป็นการพัฒนามาจาก บาร์โค้ด ถูกคิดค้นขึ้นในปี ค.ศ. 1994 โดยบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ที่ชื่อ เดนโซ และได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ชื่อ "QR Code" ไปแล้วทั้งในญี่ปุ่น และทั่วโลก อักษรย่อ "QR" ย่อมาจาก Quick Response หรือการตอบสนองที่รวดเร็ว ซึ่งเป็นคำนิยามจากผู้คิดค้นที่พัฒนาให้คิวอาร์โค้ดสามารถถูกอ่านได้อย่าง รวดเร็ว การอ่าน คิวอาร์โค้ด นิยมใช้กับโทรศัพท์มือถือ รุ่นที่มีกล้องถ่ายภาพ และสามารถติดตั้งซอฟแวร์เพิ่มเติมได้


ตัวอย่าง QR Code



คิวอาร์โค้ด แสดงชื่อเว็บไซต์ mindphp.com

ความจุข้อมูลคิวอาร์โค้ด
ตัวเลขอย่างเดียว มากสุด 7,089 ตัวอักษร
ตัวอักษร ผสม ตัวเลข มากสุด 4,296 ตัวอักษร
ไบนารี (8 บิต) มากสุด 2,953 ไบต์
คันจิ/คะนะ Max. 1,817 ตัวอักษร

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Customer Relationship Management

Customer Relationship Management :


CRM Interactions


ระบบสำหรับจัดการข้อมูลลูกค้า สามารถเชื่องโยงไปได้ทุกจุดต่าง ๆ ได้อย่างไม่สะดุด ไม่ยุ่งยากในการส่งข้อมูลจากระบบใด ๆ และสามารถใช้ได้อย่างอัตโนมัติ


Marketing การพยากรณ์อนาคต


Service การทำบริการหลังการขายสนับสนุน หรือดูแลลูกค้า เช่น ลูกค้าถามรายละเอียดสินค้าที่จะใช้ หรือซื้อไปแล้วเข้าไปสอบถามข้อมูลการใช้งาน ต่อมามีการสร้างระบบ Call Center ขึ้นเพื่อตอบคำถามในการช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อความสะดวก บางครั้งเรียก Contact Center ช่วยในการบริการการแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้า เช่น คอมพิวเตอร์ใช้แล้วเปิดไปไม่ได้ Install ไม่ได้ควรทำอย่างไร เป็นเพราะอะไร กรณีแบบนี้คือการให้บริการลูกค้า


CRM Business Approach


CRM แบบลูกค้าอยู่ศูนย์กลาง ลูกค้าคือพระเจ้า เป็นแนวคิดแบบศูนย์กลาง มีวัฒนธรรมในการให้บริการลูกค้า ที่ต้องสร้างขึ้น ไม่ได้มีมาก่อน แต่ต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับกิจการที่มีอยู่ ทราบว่าอะไรอยู่ส่วนไหนเพื่อสามารถให้บริการได้ และเต็มใจที่จะตอบคำถามไม่ว่าลูกค้าเป็นใคร หรือเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับหน้าที่นั้นหรือไม่ในองค์กรหรือหน่วยงานของเราเอง ควรทำงานด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เครื่องจักรกล การประยุกต์ใช้ CRM ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่มีประสิทธิผล ทำให้เกิด Leadership, strategy และ culture ที่ดี


CRM Strategy Drivers


วงจรชีวิตของ customers คือหาคนเป็นลูกค้าเข้ามาด้วยวิธีการใด ๆ ทำให้เกิด Loyalty(ความประทับใจ) เช่น ร้านอาหารที่มีอาหารอร่อย บริการรวดเร็ว อาหารสะอาด หรือห้างสรรพสินค้าต้องมอง Factor ต่าง ๆ ที่ประกอบ Retention ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อบ่อย ๆ ไม่ไปไหน ส่วนสุดท้ายคือการให้บริการลูกค้าหลังการขาย


Typical Pre-CRM Scenario


การเก็บข้อมูลลูกค้า การเก็บข้อมูลแบบ Silo (เก็บเป็นแท่งคอนกรีต) Data silos คือการเก็บข้อมูลใส่ แต่คนอื่นเอาไปใช้ไม่ได้ เช่น กรณีของบริษัทประกันอาจจะมีข้อมูลของลูกค้าที่แยกกันเก็บ ไม่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ เพราะข้อมูลแยกกันอยู่


The Customer is ‘your’ business


การใส่ข้อมูลแบบสถิติในการขายให้ลูกค้าใหม่ 15% ลูกค้าเก่า 50% เพียงแต่ทำให้ลูกค้าอยู่กับเราเพิ่มขึ้น 5% เน้นที่ศูนย์บริการลูกค้า 60% เสียค่าใช้จ่ายถึงหกเท่าในการบริการลูกค้า


Contact Center จุดที่สัมผัสกับลูกค้า Direct Sales ขายตรงถึงบ้านลูกค้า POS ขายที่เค้าเตอร์


CRM Application นำมาวิเคราะห์การทำ Data Mining แล้วส่งมา Back Office ในการ Inventory Design แล้วติดต่อกับSupplier เพื่อติดต่อบอกว่ากำลังสร้างสินค้าใหม่


CRM Impact : Sales


• ทำให้การจัดการการสัมพันธ์ติดตอกับลูกค้าดีขึ้น


• ทำให้มองเห็นช่องทางได้ดีขึ้น


• จัดการกับโอกาสทีเกิดขึ้น เช่น มองดูฤดูกาลก็เป็นโอกาสอย่างหนึ่ง


• การวัด Performance ของการทำงานของเรา เช่น การขาย การผลิต สามารถดูได้ที่ Performance


• สามารถพยากรณ์การขายได้ดีขึ้น หากพยากรณ์ได้แม่นยำก็เกิดประโยชน์กับการทำงานด้านต่าง ๆ


• งานซึ่งสัมพันธ์กัน เป็นกระแสงานจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง Workflow


CRM Impact : Marketing


• ทำให้ Direct Marketing ได้ดีขึ้น อาจจะส่งจดหมายไปก็ได้


• One-to-One Marketing


CRM Impact : Service


• Help Desk ให้บริการปัญหาคอมพิวเตอร์ที่หน่วยงาน (ยกตัวอย่างงานทางด้านคอมพิวเตอร์) และอาจจะส่งคนออกมาให้บริการ


• Call Center and Contact Center มีลักษณะเหมือน Help Desk แต่ใช้บริการที่หลากหลาย กับลูกค้าอย่างกว้างขวาง บาง Call Center อยู่ที่ต่างประเทศ ไม่ได้อยู่ในประเทศตนเอง เพราะอาจจะทำให้ลดในส่วนของค่าใช้จ่ายได้ดีกว่า ในเชิงธุรกิจ เช่น Call Center อยู่ในอินเดีย แต่หน่วยงานอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา


• Agreement มีข้อตกลงอะไรกันบ้าง


• การลงทะเบียน


• การให้บริการภาคสนามเป็นอัตโนมัติ การแก้ปัญหาทางไกล


CRM Implementation Methodology


วิเคราะห์ความต้องการของความต้องการทางธุรกิจ


งบประมาณเท่าไร


ไม่ต้องลงทุนเอง


Implement


CRM Business Rationale


• จัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างไร


• ได้ประโยชน์จากลูกค้า


• ขายลูกค้าได้อย่างไร


The Key to CRM Success

การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมและการปฏิบัติงานในองค์กร ควรให้การบริการลูกค้าที่ดี พนักงานมีความเข้าใจเรื่องการให้บริการ และต้องเอาระบบมาใช้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธุรกิจ เช่น ควรนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ สนใจรายละเอียดของลูกค้า การขายสินค้าแต่ละประเภท มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี CRM ต้องมีการทำให้เป็น Automatic คือ ใช้ระบบคอมพิวเตอร์มากขึ้น และควรใช้ CRM ทั้งบริษัทครอบคลุมในองค์กร ระบบที่ดีจึงจำเป็นต้องวางแผน แล้วลงไป Implement ครั้งเดียว แต่ส่วนใหญ่ยังคงทดลองทำก่อน ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เข้าใจให้ชัดเจนว่าเมื่อมีระบบให้ลูกค้าแล้ว ลูกค้าบางคนก็ไม่ค่อยมีเหตุผล เราจำเป็นต้องเข้าใจถึงลูกค้าที่มีพฤติกรรมที่ผิดปกติ ผิดแปลก อย่าไปถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องเอามาพิจารณามากนัก เอามาวิเคราะห์ให้เป็น NORM ไม่ได้





วิเคราะห์ว่าทำไมขายสินค้าได้มากกว่าปกติ จะเอามาวิเคราะห์ก็ไม่ได้เพราะเอาข้อมูลมาพยากรณ์การขายได้ไม่ปกติ การซื้อ Product มาใช้เป็นรายแรก ก็เสี่ยงเกินไปได้ รวมถึงการใช้ SW หรือลงทุนแพงเกินไป หรือเกิดการล้มเหลวได้


Conclusion


CRM สามารถทำให้เกิดความพอใจของลูกค้าได้ดี การขายก็ดีขึ้น หากลูกค้าได้รับความสะดวกสบายก็ติดใจ จงรักภักดีสูงในเวลาต่อเนื่อง ต้องดูแลข้อมูล ดูแลความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า และพนักงานที่ให้บริการอย่างสม่ำเสมอ

CRM หมายถึงอะไร ความหมายของ CRM ความสำคัญของ CRM

การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relation Management)
CRM หมายถึงอะไร ความหมายของ CRM ความสำคัญของ CRM

การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันขององค์การนั้น จะประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด ลูกค้ามีส่วนสำคัญมาก การรักษาลูกค้าให้อยู่ได้นานเป็นสิ่งสำคัญที่องค์การต่างให้ความสนใจ CRM จึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่องค์การหลายๆ องค์การนำมาใช้อย่างมาก

ทั้งนี้เพื่อให้องค์การสามารถสร้างและรักษาความจงรักภักดีของลูกค้าที่มี ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อองค์การและเป็นผู้สร้างกำไรระยะยาวให้กับองค์การ
CRM หมายถึง วิธีการในการสร้าง การรักษา และความพยายามในการดึง Customer Value ออกมา และสร้างเป็นคุณค่าระยะยาว Life time Customer Value ดังนั้น CRM จึงเป็นเรื่องของการเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

CRM เป็นทั้งกลยุทธ์และเครื่องมือขององค์การ และของพนักงานในองค์การที่จะในการให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งกลยุทธ์ไม่ได้หมายความถึงเทคโนโลยีที่มีราคาแพง องค์การไม่จำเป็นต้องพึ่งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเกินไป

หากองค์การมีเทคโนโลยีที่ยังสามารถประยุกต์ใช้ได้ ทั้งนี้เนื่องจากจะก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองต้นทุนในการเปลี่ยนเทคโนโลยี อย่างมาก องค์การควรให้ความสำคัญกับการกำหนดกลยุทธ์ CRM มากกว่า ทั้งนี้องค์การต้องให้พนักงานเข้าใจว่าเทคโนโลยีนั้นเป็นเพียงเครื่องมือที่ จะสนับสนุนกลยุทธ์ CRM เท่านั้น

CRM เป็นส่วนหนึ่งของทุกคนในองค์การ และสร้างความได้เปรียบให้กับองค์การ สามารถช่วยให้องค์การคาดการณ์ส่วนแบ่งทางการตลาดได้ ทั้งนี้องค์การจะต้องให้ความสำคัญกับทั้งลูกค้าภายในและภายนอกองค์การ

แนวคิดพื้นฐานของการบริหารลูกค้าสัมพันธ์

การพัฒนาระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพมีสิ่งสำคัญที่เป็น หลักของการบริหาร คือ การตระหนักถึงความสำคัญของลูกค้าแต่ละราย ว่าลูกค้าแต่ละรายนั้นมีความสำคัญไม่เท่ากัน การที่องค์การสามารถทำให้ลูกค้าจงรักภักดีต่อองค์การได้นั้น เป็นหัวใจหลักในการนำองค์การไปสู่ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจระยะยาว

CRM เป็นเครื่องมือทางการบริหารจัดการซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์เพื่อช่วย ให้องค์การสามารถจัดการกระบวนการต่าง ๆ ภายในองค์การให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ เพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดต่อองค์การ
การบริหาร CRM จะประสบความสำเร็จได้นั้นมีขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้ คือ

1. มีการร่วมมือกันอย่างทุมเทในการดำเนินกลยุทธ์ CRM ของบุคลากรทุกระดับในองค์การ
2. พนักงานทุกระดับและทุกหน่วยเก็บข้อมูลเพื่อสนับสนุนระบบ CRM อย่างถูกต้อง
3. เครื่องมือ CRM จะต้องสอดคล้องกับตัวระบบการให้บริหารเพื่อให้พนักงานและลูกค้ามีความสะดวกในการใช้งาน
4. ใช้ข้อมูลรายงาน CRM ที่จำเป็นและมีการแบ่งปันไปสู่ทีมงาน
5. การดำเนินกลยุทธ์ CRM นั้นไม่ใช่การมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีราคาแพงเป็นหัวใจสำคัญแต่องค์การสามารถ ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ถึงแม้ว่าจะเป็นเทคโนโลยีราคาถูกแต่องค์การสามารถใช้ ให้เกิดประสิทธิภาพได้ หากเปรียบเทียบกับการนำเทคโนโลยี ไฮ-เทคเข้ามาใช้แล้วทำให้เกิดความวุ่นวาย และเพิ่มต้นทุนมหาศาล การใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ก็จะก่อให้เกิดคุณค่ามากกว่า

การทำ CRM จะเป็นตัวช่วยบอกองค์การว่าควรจะรักษาลูกค้าประเภทใด
แนวคิดเกี่ยวการเก็บรักษาลูกค้าให้ได้นาน ๆ นั้นจะช่วยลดต้นทุน

เนื่องจากถ้าองค์การสามารถรักษาลูกค้าให้อยู่กับองค์การได้ จะช่วยเป็นการลดต้นทุนที่เกิดจากการลดการทำงานให้เหลือน้อยครั้ง องค์การไม่ต้องเริ่มกระบวนการทำงานใหม่บ่อย ๆ ถ้าหากลูกค้าเข้า ๆ ออก ๆ จะทำให้เสียต้นทุนและไม่เกิดโอกาสในการทำกำไร ซึ่งโอกาสในการทำกำไรนั้นส่วนหนึ่งมาจาก การทำ Cross Selling และ Up Selling

Cross Selling หมายถึง การซื้อต่อเนื่อง
Up Selling หมายถึง การซื้อต่อยอด

สถิติเพื่อการวิเคราะห์การดำเนินการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าระยะยาว

1.ต้นทุนของการแสวงหาลูกค้าใหม่มีค่าเป็น 6 เท่า ของต้นทุนในการรักษาลูกค้าเดิมไว้
2.ลูกค้าที่ไม่พอใจในสินค้าและบริการ จะบอกต่อ 10 คน ถึง ความไม่พอใจในสินค้าและบริการ
3.มีลูกค้า 91% ของลูกค้าที่ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ต่อข้อร้องเรียนจะไม่กลับมาใช้บริการ และซื้อสินค้าจากองค์การเหล่านั้นอีก หรือ เลิกเป็นลูกค้ากับองค์การเหล่านั้น
4.มีลูกค้า 4% ที่ไม่พอใจที่จะร้องเรียนกลับมายังองค์การ
5.มีลูกค้ามากกว่า 65 % ที่ไม่กลับมาเป็นลูกค้าขององค์การอีก ทั้งนี้สาเหตุส่วนใหญ่มากจากการไม่ดูแลเอาใจใส่ มากกว่าความพึงพอใจในคุณภาพของสินค้า

หลักการสำคัญในการบริหารลูกค้าสัมพันธ์

1. การมีฐานข้อมูลของลูกค้า ฐานข้อมูลต้องถูกต้องและทันสมัยอยู่เสมอ สามารถเรียกดูได้จากทุกหน่วยงานในองค์การที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า มีการแยกประเภทลูกค้าจากฐานข้อมูล เนื่องจากลูกค้าแต่ละรายมี Value ไม่เท่ากัน ซึ่งลูกค้าประกอบด้วย ลูกค้าเริ่มแรก ลูกค้าที่ช่วยประชาสัมพันธ์ และลูกค้าที่ซื้อซ้ำ
2. การมีเทคโนโลยี เทคโนโลยีที่เข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ประกอบด้วย เทคโนโลยีที่เพิ่มช่องทางให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับองค์การได้ เช่น ระบบ Call center,Web site,Interactive voice Response เป็นต้น และอีกตัวหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยในเรื่องของการวิเคราะห์ว่าองค์การจะใช้ software ในการประมวลผลอย่างไร เช่น ใช้เพื่อการแยกแยะลูกค้า และการจัดลำดับความสำคัญของลูกค้า
3. การปฏิบัติเพื่อรักษาลูกค้า เนื่องจากข้อมูล Database สามารถทำให้องค์การแยกแยะลูกค้าได้ว่ากลุ่มใดเป็นกลุ่มที่ทำกำไรสูงสุดให้ กับองค์การ หลังจากนั้นองค์การต้องมากำหนดวิธีปฏิบัติต่อลูกค้าเหล่านั้น เพื่อสร้าง Relationship Program เพื่อให้เข้าถึงการให้บริการลูกค้าแต่ละรายอย่างเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น การจัดทำ Frequency Marketing Program การจัดทำโปรแกรม Loyalty Program หรือการจัดทำโปรแกรม Community Program เป็นต้น
4. การประเมินผล เพื่อให้ทราบว่าองค์การสามารถรักษาลูกค้าได้มากขึ้นหรือไม่อย่างไร โดยเกณฑ์ต่าง ๆ จะต้องเปลี่ยนไป จุดเน้น หรือ Focus ขององค์การต้องเปลี่ยนมาอยู่ที่การรักษาลูกค้า (Keep Relation)ในระยะยาว และ เพิ่มValue ให้กับลูกค้าให้มากกว่าคุณค่าที่ลูกค้าคาดหวัง

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553