วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

งานกับความสุข

งานกับความสุขอาจจะไปด้วยกันยากในบางโอกาส ที่ผ่านมางานทุกงานเราก็ทำด้วยใจรัก
แต่เมื่อมันถึงเวลางานนั้นอาจจะไม่ใช่ของเรา เราทำให้คนอื่นเขาแต่เราก็รักในงานที่เราทำ
ชีวิตนี้จะเอาอะไรมากได้ทำงานที่ตัวเองรัก มีความสุขกัยครอบครัว สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้
มีปัจจัย 4 ครบ เท่านี้ชีวิตก็สมบูรณ์

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ใครขโมยเนยแข็งของฉันไป

เนื้อเรื่องโดยย่อ
ครั้งหนึ่งนานมาแล้วในดินแดนไกลโพ้น มีตัวละครอยู่ 4 ตัว คู่หนึ่งเป็นหนูชื่อ SNIFF และ SCURRY อีกคู่หนึ่งเป็นคนแคระชื่อ HEM และ HAW
ทุกวันทั้งสองคู่จะวิ่งเข้าไปในเขาวงกต เพื่อหาเนยแข็งกิน ทางเดินในเขาวงกตมีทั้งมุมมืด ทางตัน ทางวนเวียน จนอาจหลงทางเอาได้ง่าย ๆ ใครที่หาทางไปถึงเนยแข็งได้ ก็ถือเป็นเส้นทางแห่งความสุขของชีวิต เจ้าหนูสองตัวใช้วิธีลองถูก - ลองผิด วิ่งไปเจอทางตัน ก็ลองเส้นทางใหม่โดยใช้จมูกเป็นเครื่องนำทาง แต่สำหรับคนแคระสองคนนี้ใช้สมองที่เหนือกว่า หาเส้นทางไปสู่เนยแข็งที่เขาชอบเป็นพิเศษโดยใช้การคิดและการเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต จากการใช้วิธีดังกล่าวทั้งคู่ก็ไปพบเนยแข็งที่ตนชอบในสถานี (STATION) ของตน ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเนยแข็งมาจากไหน หรือใครเอามาวางไว้ให้ แต่เขาก็เจอมันทุกวันอย่างมีความสุข HEM และ HAW เชื่อว่าเนยแข็งที่นี่มีเพียงพอสำหรับพวกเขาไปตลอดชีวิต และรู้สึกมีความสุข ประสบความสำเร็จ และคิดว่าพวกเขามั่นคงและยึดมั่นว่ามันเป็นเนยแข็งของเขาทั้งสองคน
ส่วนเจ้าหนูทั้งคู่ก็จะวิ่งมาหาเนยแข็งกินทุกเช้าเช่นเดียวกัน เช้าวันหนึ่ง เมื่อทั้งคู่มาถึงก็ไม่พบเนยแข็งเลย แต่ทั้งคู่ก็ไม่แปลกใจ เพราะได้สังเกตมาหลายวันแล้วว่าเนยแข็งมันเริ่มลดลง ทั้งคู่ไม่เคยวิเคราะห์มาก่อนและก็ไม่มีความเชื่อที่ซับซ้อนมากมาย เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงทั้งคู่ก็ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตามด้วย ทั้งคู่ออกหาเนยแข็งในสถานีใหม่ด้วยวิธีลองถูก - ลองผิด ดมหากลิ่นไปเรื่อยๆ อีกครั้ง ในไม่ช้าพวกมันก็พบเนยแข็งแห่งใหม่ ในวันเดียวกัน HEM และ HAW ก็มาถึงสถานี และไม่พบเนยแข็งอยู่เลย เนื่องจากมิเคยสังเกตเลยว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเล็กน้อยมานานแล้วกับปริมาณเนยแข็งที่กินไปทุกวัน ทั้งคู่เชื่อมั่นว่าอย่างไรเสียมันก็ต้องเจอเนยแข็งทุกที เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ ก็โวยวายว่าใครเคลื่อนย้ายเนยแข็งของพวกเขาไปๆและตะโกนร้องว่ามันไม่ยุติธรรม
พวกเขาจะต่างจากหนูตรงที่ว่า เขาคิดว่าเนยแข็งมีความสำคัญกับเขาอย่างยิ่ง และไม่ได้วางแผนไว้เลยว่า ถ้าไม่มีเนยแข็งแล้วจะทำอย่างไร พวกเขาเชื่อว่าเนยแข็งที่หายไป คงต้องมีใครสักคนมาแกล้งแน่ ๆ และคิดว่าเจ้าหนูทั้งสองตัวคงตกระกำลำบากเหมือนกัน หลายวันผ่านไป จากการที่ HEM และ HAW คิดว่าเนยแข็งต้องอยู่แถวนี้ หรือต้องมีคนนำมาคืน ร่างกายของทั้งสองคนเริ่มเพลียและอ่อนแอลง วันหนึ่ง HAW จึงมีความคิดว่า เราน่าจะลองหาทางเดินในเขาวงกตใหม่ อาจเจอเนยแข็งที่อื่นก็ได้ ในขณะที่ HEM ไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่า ตัวเองแก่เกินไปที่จะไปผจญกับเส้นทางที่ลำบาก ทางที่มืด ซับซ้อน และน่ากลัว และคิดว่าสักวันเนยแข็งจะกลับมาเอง ซึ่งในระยะแรก HAW ก็เห็นด้วยกับความคิดของ HEM แต่ในที่สุด HAW ก็ทนไม่ไหวกับสภาพร่างกายที่อดอยาก คิดจะไปหาเส้นทางใหม่ และเริ่มคิดได้ว่าในชีวิตของเราบางครั้งมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ซึ่งจะไม่มีวันกลับไปเป็นอย่างเก่า ชีวิตต้องเคลื่อนไหวต่อไป HAW จึงตัดสินใจออกไปผจญภัยหาเส้นทางใหม่ เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ความกลัวในความไม่แน่นอนดูจะหายไปและคิดว่าถ้าตัวเองไม่ปรับตัวคงสูญพันธุ์แน่
และแล้ว HAW ก็เริ่มผจญภัย แม้จะเจออุปสรรคบ้าง ท้อแท้บ้าง ลำบากบ้าง เขาก็คิดว่าเขาอยู่ในสถานะที่ดีกว่าอยู่ที่เดิม อย่างน้อยเขาสามารถควบคุมสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเขาอยู่ มิใช่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นกับเขาโดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าเจ้าหนูสองตัวนั้นทำได้ เขาก็ต้องทำได้และเขาก็นึกเสียดายว่าถ้าเมื่อก่อนเขาสังเกตว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับเนยแข็งที่มีปริมาณลดลงและคุณภาพต่ำลง เขาคงเตรียมตัวเผชิญเหตุการณ์ได้ดีกว่านี้ HAW สร้างกำลังใจโดยจินตนาการว่า กำลังนั่งอยู่กลางกองเนยแข็งพะเนินเทินทึก และเป็นเนยแข็งที่แสนอร่อย ยิ่งจินตนาการก็ยิ่งมีแรงจูงใจมากขึ้นทุกที มีกำลังและความคล่องแคล่วมากขึ้นในการค้นหาเส้นทาง และในที่สุด เขาก็พบกองเนยแข็งแหล่งใหม่ที่เขาชอบและได้นำมาฝาก HEM ให้ลองชิม และชักชวนให้ไปสถานีที่เขาพบเนยแข็งแหล่งใหม่กับเขา ซึ่ง HEM ปฏิเสธและบอกว่า เขาชอบเนยแข็งแบบเก่ามากกว่า และจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงจนกว่าจะได้สิ่งที่เขาต้องการ
HAW ส่ายหัวด้วยความผิดหวังและเห็นความจริงอย่างชัดเจนว่า ความกังวลและความกลัวว่าจะไม่มีเนยแข็งที่อื่น และเคยชินกับความคิดว่าอะไรอาจผิดพลาดได้มากกว่าที่จะคิดว่าอะไรที่ไปได้ดี เขาคิดว่าเขาจะต้องอยู่อย่างนั้น การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่เลวร้ายมากกว่าสถานการณ์ที่เขาประสบเสียอีก เขาตระหนักแล้วว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าเราจะคาดคิดว่ามันน่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนั้นจะทำให้เราแปลกใจได้มาก หากเราไม่คาดคิดหรือเตรียมตัวกับมันไว้ก่อน HAW รู้ว่าการกระทำของเขาจะเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อความเชื่อของเขาเปลี่ยนแปลงแล้วเท่านั้น ถ้าเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นอันตรายก็จะต่อต้านมัน แต่ถ้าเชื่อว่าการมองหาเนยแข็งใหม่จะเป็นตัวช่วยปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดผลดี ทั้งหมดนี้ อยู่ที่เราเลือกจะเชื่ออย่างไร สุดท้าย HAW ได้ข้อสรุปจากการเรียนรู้ ดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเสมอ (เนยแข็งจะถูกเคลื่อนย้ายเสมอ) 2. คาดคะเนการเปลี่ยนแปลง (เตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนย้ายของเนยแข็ง) 3. เฝ้าตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง (กลิ่นเนยแข็งจะบอกให้รู้ว่า มันกำลังเก่า) 4. ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (ยิ่งปล่อยวางเนยเก่าเร็วเท่าใด ก็จะชอบรสชาติเนยใหม่เร็วเท่านั้น) 5. เปลี่ยนแปลง (เหมือนเนยที่ถูกเคลื่อนย้าย) 6. มีความสุขกับการเปลี่ยนแปลง (ดื่มด่ำกับการผจญภัยและสนุกกับรสชาติของเนยใหม่) 7. พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความสุขกับมันอีกครั้ง (เนยแข็งจะถูกเคลื่อนย้ายเสมอ) ในแต่ละวัน HAW ก็จะสังเกตว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับเนยแข็งแหล่งใหม่ที่เขาพบไหม เพื่อเขาจะทำอะไรก็ตามที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เจอกับการเปลี่ยนแปลงที่เขาคาดไม่ถึงเหมือนในอดีต และในขณะเดียวกันเขาก็ยังเข้าไปในเขาวงกต เพื่อสำรวจที่แห่งใหม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเขาไหม ซึ่งเขารู้ว่ามันทำให้เขาปลอดภัยกว่าที่จะอยู่ในที่ที่เดียวที่สะดวกสบายอยู่แล้ว ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเรื่องนี้
1. คนส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นเหมือน HEM คือยึดติดกับสิ่งที่มีอยู่หรือความเชื่อที่มีอยู่ และไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งต่างจากหนู 2 ตัวที่จะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง เพื่อความอยู่รอด 2. คนส่วนใหญ่จะกลัวการเปลี่ยนแปลง ซึ่งบางครั้งหลายคนก็ไม่เคยรู้ว่าตัวเองกลัวการเปลี่ยนแปลง 3. บางคนไม่เคยเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ตัวเองปฏิบัติอยู่เลย และยอมที่จะเสียเงินหรือเป็นเหยื่อให้กับสิ่งนั้น 4. การรู้จักคิดเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ก่อน ดีกว่าการพยายามตอบโต้หรือปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น 5. ความเชื่อบางอย่างหลายคนก็ไม่อยากที่จะเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงแล้วมันดีขึ้น ก็ย่อมจะดีกว่า 6. ความต้องการใหม่ๆ ในชีวิต (New Cheese) หลังการเปลี่ยนแปลงที่จะทำควรชัดเจนและสามารถเป็นจริงได้ ก็จะทำให้เกิดพลัง สนุกกับการเปลี่ยนแปลง และประสบความสำเร็จ 7. พฤติกรรมเก่าๆ ที่ทำให้ความสัมพันธ์กับบุคคลหนึ่งมันแย่ เปรียบเหมือน Old Cheese ควรปล่อยมันทิ้ง และมาคิดเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเสียใหม่ ซึ่งเป็นเสมือนNew Cheese เพื่อให้ความสัมพันธ์มันดีขึ้นกับบุคคลนั้นๆ 8. การเปลี่ยนแปลงสามารถนำคุณไปสู่สถานที่ใหม่ และดีกว่าเดิม 9. หลังจากคุณได้ผ่านความกลัวมาได้ คุณก็จะรู้ว่า มันมีสิ่งที่คุณต้องการ (New Cheese) รอคุณมาพบ 10. การสร้างภาพความต้องการของคุณในใจ (New Cheese) มันจะเป็นเหมือนแรงจูงใจที่ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นและทำอะไรได้ดีขึ้น 11. ชื่อของตัวละครทั้ง 4 ตัว สื่อความหมายได้ดังนี้
Sniff หมายถึง ดมกลิ่น หนูมันจะหาเนยแข็งโดยการดมกลิ่นไปเรื่อยๆ ซึ่งมันจะทราบการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อนำมาปรับใช้แล้ว เราก็ควรเป็นคนช่างสังเกตว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างในแต่ละวัน
Scurry หมายถึง การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หนูนอกจากดมกลิ่นเก่งแล้ว จะต้องพร้อมที่จะเคลื่อนไหวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว เมื่อนำมาปรับใช้แล้วเราควรเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเคลื่อนไหวได้ก่อนเราก็จะเจอของดีก่อน
Hem หมายถึง ตะเข็บกระโปรง ที่ถูกสอยด้วยด้ายเพื่อยึดติดผ้าให้แน่น ซึ่งตัวละครที่ชื่อ Hem จะมีบุคลิกลักษณะที่เป็นคนยึดติดอยู่กับความเชื่อเก่า ๆ และไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นจึงไม่ควรยึดติดกับความเชื่อเก่า ๆ ที่มีอยู่ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำหรับการที่จะคิดเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง
Haw หมายถึง ลังเล ซึ่งตัวละครที่ชื่อ Haw จะมีบุคลิกลักษณะนี้ คือลังเล ไม่ค่อยกล้าที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงไปหาเนยแข็งแห่งใหม่ในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดี ยิ่งเปลี่ยนแปลงได้เร็วเท่าไร ก็สามารถที่จะค้นพบสิ่งใหม่ ๆที่ดีกว่าเร็วมากขึ้นเท่านั้น
12. ในเนื้อเรื่อง คำว่า Cheese สำหรับคนแคระทั้งสองคน จะเป็นขึ้นต้นด้วย C ตัวใหญ่ ซึ่งนอก จากหมายถึง เนยแข็งที่เป็นอาหารแล้ว ยังสื่อถึงความต้องการอื่น ๆ มากมายที่คนต้องการแล้วมีความสุข เช่น ความมั่นคงในชีวิต เงิน บ้านหลังใหญ่ อิสรภาพ สุขภาพที่ดี ฯลฯ ซึ่งก็ต้องเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง (Change)มากมาย ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การที่เราจะให้ได้มาหรือรักษาความต้องการต่าง ๆของเรานั้น เราก็ต้องรู้จักที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อต่าง ๆ ซึ่งต่างจากหนู ที่คำว่า cheese ขึ้นต้นด้วย c ตัวเล็ก มันหมายถึง เนยแข็งที่เป็นอาหารอย่างเดียว ดังนั้น เมื่ออาหารของมันหมด มันก็รู้จักที่จะเปลี่ยนแปลงไปหาอาหารที่แห่งใหม่
13. ในการเปลี่ยนแปลงนั้น บางครั้งก็ต้องเสี่ยงเดินไปในหนทางที่มันมืด คือต้องกล้าได้ กล้าเสีย เพื่อจะได้ในสิ่งที่มันใหม่และดีกว่าเดิมก่อนคนอื่น Have a nice day

ยามจนอย่าอยากมี ยามมีก็ควรประหยัด

เงินทองแม้เป็นของนอกกาย แต่การรู้จักใช้รู้จักจ่ายเป็นเรื่องเหมาะสม
เงินทองไม่เข้าใครออกใคร หามาก็รู้จักเสียดายยามจ่าย แต่ไม่ใช่ขี้เหนียวไม่จ่ายเลย
เงินทองต้องรู้จักบริหารมันจึงจะมีเก็บ อย่าเห็นช้างขี้ก็ขี้ตามช้างเพราะจะหมดตูดเอา

ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร

คำกล่าวที่ว่า "ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร" อาจจะจริงเพราะในวันนี้ในโลกการแข่งขัน ไม่ว่าจะเชิงการเมือง หรือเชิงธุรกิจที่ผลประโยชน์มาก่อน ยิ่งตอกย้ำว่าคำกล่าวนี้เป็นจริง ยิ่งสัมผัสกับตัวยิ่งเห็นว่า มนุษย์หลายคนมองกันแต่เพียงผลประโยชน์อย่างเดียว เมื่อต้องเจออะไรเพียงลำพังถึงจะซึ้งถึงคำ ๆ นี้

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ต้องหนักแน่น ต้องเข้มแข็ง อย่าอ่อนแอ ใครจะใส่หน้ากากมาก็อย่าโกรธอย่าว่าเขาเลย
คนมันก็ทำเพื่อตัวเอง หากเราเข้าใจว่าการจะมีความสุขได้ คนอื่นเขาต้องมีความสุขด้วย สุขแบ่ง ๆ กัน

สอนใจตัวเองว่าอย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน เพราะจะจนใจเอง อะไรผ่านมาผิดไปพลาดไป ก็ถือว่าทำบุญ
สมองเรามี ปัญญาเรามี ก็สู้ ๆ มันไป