วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อำนาจเงิน ในสังคมสมัยใหม่

เรื่องเล่าอยู่ในหนังสือ “เกร็ดธรรมะจากเกร็ดชีวิตของพุทธทาสภิกขุ” ว่ามีภริยาของผู้มีอำนาจวาสนาในสมัยที่ท่านอาจารย์พุทธทาสยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่ง ไปสวนโมกข์พร้อมผู้ติดตาม และเข้าไปกราบท่านอาจารย์พร้อมกับถามว่า จำเธอได้หรือไม่ ท่านอาจารย์ตอบตามตรง แบบสั้น ๆ เรียบ ๆ แล้วก็นิ่งเฉยตามปกติของท่านว่า “จำไม่ได้” ผลคือสตรีผู้นั้นโกรธ ลุกกลับออกมา พร้อมพูดกับผู้ติดตามว่า เธอได้ถวายเงินทำบุญบำรุงวัดไปเป็นจำนวนมากเมื่อคราวพบกันครั้งแรก (ควรจะจำเธอได้นี่นา) แถมทิ้งท้ายเสียงดังพอที่คนอยู่ละแวกหน้ากุฏิจะได้ยินว่า ในเมื่อจำไม่ได้ คราวนี้จะไม่ถวายแล้ว โดยนัยคือ การจำความสำคัญของเธอไม่ได้ ทำให้ท่านอาจารย์อดได้เงินทำบุญจากเธอผู้นั้น

แม้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะชวนให้ “ขำกลิ้ง” ในวิธีคิดของสตรีผู้นั้น แก่ผู้ฟังที่รู้จักธรรมะและวัตรปฏิบัติของท่านอาจารย์พุทธทาส แต่เรื่องนี้ก็สะท้อนให้เราเห็นว่า คนในสังคมปัจจุบัน มักคิดและเชื่อมั่นว่า “เงิน” เป็นอำนาจซึ่งทำให้คนทั่วไปต้องสยบยอม เอาใจอย่างปราศจากข้อแม้ ไม่เข้าใจว่า แท้ที่จริงนั้น เงินมีอำนาจอยู่บนฐานความคิดความเชื่อบางอย่าง ดังนั้น ผู้ที่ปฏิเสธหรือมิได้สมาทานความเชื่อดังกล่าว เงินจึงมีความหมายน้อยและมีอย่างจำกัดขอบเขตด้วย ในกรณีของท่านอาจารย์พุทธทาสที่เล่ามานั้น อำนาจเงินมีความหมายน้อยอย่างยิ่ง เพราะความสุขของท่าน ไม่ต้องใช้เงินซื้อและมีความหมายอันกว้างขวาง หลายมิติ มิได้ผูกติดอยู่กับเงื่อนไขทางวัตถุแต่เพียงอย่างเดียว คือ เมื่อมีปัจจัยสี่เพียงพอแก่การยังชีวิต มิให้ลำบากขาดแคลนแล้ว ท่านก็แสวงหา–สร้างและมีความสุขอันละเอียดประณีตจากการพัฒนาจิตวิญญาณ ด้วยการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ศึกษาเรียนรู้กฎแห่งธรรมชาติ เพื่อจะมีความสุขอย่างอิสระ โดยอาศัยปัจจัยภายนอกไม่ว่าเงินหรือวัตถุอื่นให้น้อยที่สุด ตามคติของชาวพุทธ แล้วปันส่วนที่เกินให้แก่ผู้อื่น อีกทั้งกิจการภายในวัดเอง ก็มิได้ตั้งอยู่บนฐานคิดของการใช้เงินเป็นหลัก หากขยายตัวไปตามปัจจัยที่มีอยู่ จึงไม่มีการเรี่ยไร ตั้งกล่องบริจาค ฯลฯ การไม่ให้ความสำคัญกับหาเงินหรือเติบโตบนเงื่อนไขพึ่งพาเงินใครนี้ ทำให้ไม่มีผู้ใดมีอำนาจพิเศษ ไม่ว่าเศรษฐี ตาสีตาสา นักศึกษา พระลูกชาวบ้าน ฯลฯ มาพบท่านอาจารย์ได้ตลอดเวลาหน้ากุฏิ

อำนาจเงินนั้น ทำงานและมีพลังบนฐานความเชื่อเกี่ยวกับ “ความสุข” ของบุคคล คือมีอิทธิพลต่อผู้ที่เชื่อว่า เงินเป็น “คำตอบสุดท้าย” หรือ-เป็นคำตอบเดียวของ “ความสุข” หมายความว่าต้องมีเงินจึงมีความสุข ถ้าไม่มีเงินก็ไม่มีความสุข เมื่อ “ความสุข” ถูกสรุปด้านเดียวแบบหยาบ ๆ จากคนในสังคมสมัยใหม่โดยไม่ต้องถามไม่ต้องคิดดังนี้ เงินจึงมีอำนาจมหาศาลเหนือผู้คนทุกวงการในปัจจุบัน เพราะมนุษย์ล้วนปรารถนา “ความสุข” และแสวงหาความสุขตามความเชื่อนั้น และดูว่าจะมีพลังมากกว่าอำนาจอาวุธ–เผด็จการทหาร ซึ่งใช้ความกลัวเป็นตัวบังคับข่มขู่ให้คนทำตามด้วย การต่อต้านอำนาจอย่างหลังนี้เกิดขึ้นได้ง่าย แต่อำนาจเงินใช้ “ความสุข”เป็นตัวล่อ ตัวหลอก การสยบยอมต่ออำนาจเงินและอำนาจอื่นที่พ่วงตามมากับเงิน จึงมักเป็นไปด้วยความสมัครใจ เต็มใจ อำนาจเงินจึงสามารถกวาดซื้อทุกอย่างที่ขวางทางได้โดยไม่ยากในทุกวงการ แม้ในวงการที่มีหลักการยุติธรรม ความดีงามเป็นหัวใจ ไม่ว่าตุลาการ ตำรวจ แพทย์ ครู ผู้บวช รวมไปถึงการซื้ออุดมการณ์ใส่ลิ้นชัก

อย่างไรก็ตาม พลังอำนาจของเงินในสังคมสมัยใหม่ ก็มิได้ครอบครองเหนือบุคคลและกลุ่มคนทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง จนไร้ความหวัง ที่จะไปพ้นจากสังคมที่อำนาจเงินเป็นใหญ่ หากเข้าใจว่าสังคมที่ว่านี้ เกิดและเติบโตได้มากภายใต้อุดมการณ์เศรษฐกิจแบบ “จำเริญเติบโต” (growth) คือมุ่งการเพิ่มและขยายรายได้(เงิน)ไม่ว่าในระดับปัจเจกบุคคลหรือของรัฐ การพัฒนาของรัฐที่ผ่านมากว่า ๔๐ ปี ได้สร้างมายาคติทำให้การมีชีวิตรอด ไม่ว่าในเมืองหรือชนบทมีอยู่ทางเดียว คือปัจเจกบุคคลจะต้องหาเงินให้มาก ๆ แล้วเอาเงินไปบันดาล “สุข” อันหมายถึง ความสุขทางวัตถุ ด้วยสูตร “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” (ซึ่งเวลาต่อมาเปลี่ยนไปเป็นว่า งานไม่ต้องทำก็มีเงินได้ หรือทำอย่างไรก็ได้ให้ได้เงิน) ความสุขในรูปแบบ-อื่น ๆ ที่เคยมีอยู่ในสังคมไทย เช่น ความสุขจากการมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อแบ่งปันให้กัน ความอบอุ่นในครอบครัว–ชุมชน การสร้างสรรค์งานศิลปะ ฯลฯ ได้ถูกทำลายราบด้วยสูตร “ความสุข” ของรัฐ ซึ่งเป็นนายหน้าให้แก่ทุนนิยมโลกและวัฒนธรรมบริโภคนิยม–วัตถุนิยม สร้างตลาดซื้อขาย “ความสุข” ที่ต้องใช้เงินซื้อทั้งสิ้น คนเป็นอันมากเชื่อและวิ่งล่าหาความรวยเพื่อมาสร้างความสุขตามสูตรของรัฐ จนกระทั่งสูญสิ้นไร่นา ป่าเขาถูกทำลาย ครอบครัวแตกแยกเพราะพ่อแม่เอาแต่หาเงิน อบายมุข ยาเสพติด คอร์รัปชั่น ฯลฯ ล้วนขยายตัวบนพื้นฐานความแร้นแค้นและความโลภอยากรวย

ความอยุติธรรมทางเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม และความทุกข์ในชีวิตปัจจุบัน จึงผูกโยงอยู่กับโลกทัศน์และค่านิยมเกี่ยวกับชีวิตและความสุขของบุคคลในสังคมด้วย การจะลดทอนอำนาจเงินและอำนาจรัฐในสังคมไทย ทางหนึ่งคือการส่งเสริมและเปิดทางให้ชุมชนได้นิยามและสร้าง “ความสุข–ความเจริญ” ตามแบบของตนเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนรัฐ เพราะตราบใดที่ยังต้องวิ่งไล่ตามสูตรการพัฒนาของรัฐ(การตลาด) ก็จะยิ่งจนและอำนาจเงินก็จะยิ่งแผ่อิทธิพลมากยิ่งขึ้นบนความยากจนนั้น ในส่วนของปัจเจกบุคคล การต่อสู้กับอำนาจเงิน แท้จริงก็คือ การต่อสู้กับความโลภภายในใจของเราเอง ซึ่งจุดติดง่ายท่ามกลางแรงโฆษณา “ความสุข” ที่ชี้นำแต่ความสุขแบบหยาบ ๆ จะสู้ชนะหรือแพ้ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนตนเองที่จะใช้เงินบันดาลสุขแต่เพียงพอดี ที่สำคัญที่สุดคือ รู้จักการสร้างและมีความสุขในมิติอื่นด้วย การดูวิถีชีวิตและความสุขของกัลยาณมิตรเช่น ท่านอาจารย์พุทธทาส ก็เป็นทางหนึ่งของการสร้างกำลังใจ และความรู้เท่าทันในการต่อสู้กับอำนาจ-เงิน

แน่นอนว่า ผู้มีชีวิตครองเรือน คงทำเหมือนบรรพชิตมิได้ทั้งหมด แต่คฤหัสถ์ก็สามารถมีความสุขจากวิถีชีวิตที่ “ไม่รวย” ได้เช่นกัน ดูดังชีวิตของ อ.ป๋วยและอีกหลาย ๆ ท่านเป็นตัวอย่าง หรือให้ใกล้เข้ามาอีก ก็ดูความสุขของเด็ก ๆ เมื่อเขาจับกลุ่มเล่นกัน หัวเราะเอิ๊กอ๊ากโดยไม่ต้องใช้เงินสักบาท.

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Hot spot คืออะไร



จะดีแค่ไหนถ้าคุณสามรถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้อย่างสะดวกทุกท

นับวันเทคโนโลยีต่างๆได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงเทคโนโลยี Wi-Fi ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานตามบ้าน ที่ทำงานหรือแม้แต่ตามสถานที่ทั่วไป เช่น โรงแรมมม , สนามบิน , โรงพยาบาล , ศูนย์การค้า , รีสอร์ท , คอฟฟี่ช๊อป ฯลฯ สังเกตได้จากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ได้พากันทยอยออกผลิตภัณฑ์ที่รองรับกับเทคโนโลยีไร้สายนานาชนิด คาดการณ์กันว่า ในอนาคตอันใกล้นี้เทคโนโลยีการเชื่อมต่อจากเครื่องลูกข่ายเพื่อเข้าระบบเน็ตเวิร์กแบบมีสาย จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีไร้สายอย่างแน่นอน เนื่องจากมีความสะดวกสบาย ความคล่องตัวในการใช้งานสูงง่ายในการติดตั้งโดยไม่ต้องลากสายให้เกะกะ สามารถใช้งานได้ทุกที่เหมาะกับการนำมา ใช้ชีวิตประจําวัน ที่ไม่ต้องต่อสายให้ยุ่งอยากอีกทั้งอุปกรณ์ที่ใช้งานก็เริ่มถูกลงมาเรื่อยๆ เทคโนโลยี Wi-Fi กําลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ



ก่อนจะเข้าเรื่อง Hotspot เรามาดู กันก่อนว่า Wi-Fi คืออะไร และเทคโนโลยีนี้จะช่วยทำให้ชีวิตของคุณสะดวกสบายและง่ายขึ้นได้อย่างไร

Wi-Fi (Wireless Fidelity) เป็นคำติดปากที่คนนิยมเรียกกัน หรือก็คือ Wireless LAN นั่นเอง เป็นการสื่อสารด้วยระบบไร้สาย บนเทคโนโลยี IEEE 802.11 โดยที่จะทำงานภายใต้คลื่นวิทยุ 2.4 GHz ซึ่งอุปกรณ์ทุกตัวซึ่งต่างยี่ห้อกันนั้นมันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่มีปัญหา ภายใต้มารตฐานเดียวกัน โดยจะมีการออกเป็น WIFI certified ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นสามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ตัวอื่นที่มีตรา WIFI certified นี้ได้เช่นกัน ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีดังกล่าวได้ออกมา 3 ความเร็วด้วยกันคือ

- 802.1a ทำงานด้วยความถี่ 5 GHz ที่อัตราความเร็วข้อมูล 54 Mbps (แต่ไม่นิยมใช้งานในประเทศไทย )
- 802.1b ทำงานด้วยความถี่ 2.4 GHz ทึ่ความเร็ว 11 Mbps
- 802.1g ทำงานด้วยความถี่ 2.4 GHz ทึ่ความเร็ว 54 Mbps


ในยุคสมัยนี้การที่เราจะเล่น อินเตอร์เน็ตขณะอยู่นอกบ้านนั้นเราสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ที่สามารถต่อเข้ากับเน็ทเวิร์คหรืออินเตอร์เน็ทความเร็วสูงได้? โดยไม?ต?องใช?สายโทรศัพท?หรืออุปกรณ?ใดๆ ให?ยุ?งยาก ซึ่งที่ผมจะกล่าวถึงต่อไปนี้คือ Hotspot เป็นเทร์นใหม่ที่กำลังมาแรงสุดๆในขนะนี้ เราสามารถยก office ไปนั้งทำงานตามร้านกาแฟลอ๊บบี้โรงแรม , ห้องอาหารหรูๆได้อย่างสบายๆ เพราะข้อมูลงานต่างๆของเรานั้นก็เก็บไว้ใน Notebook ของเราอยู่แล้ว แบบประมาณว่าจัดประชุมนัดลูกค้ามาคุยกันนอกสถานที่เลยก็ได้ คราวนี้มาดูกันว่า Hot spot มันมาเกี่ยวโยงกับ Wi-Fi ได้อย่างไร

Hotspot คือ บริการอินเตอร์เน็ตไร้สายแบบสาธารณะความเร็วสูง ด้วยเทคโนโลยีของ Wireless LAN หรือ ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้บริการกันมากขึ้นเรื่อยตามแหล่งธุรกิจ อาทิ สนามบิน โรงแรม ร้านอาคาร ศูนย์การค้า โรงพยาบาล และ อาคารสำนักงาน โดยใช้เทคโนโลยีบรอดแบนด์ผสมผสานกับเทคโนโลยีไรสาย (WI-FI ) ทำให้คุณออนไลน์ได้ทุกที่ , รับส่งอีเมล์ , ดาวน์โหลดข้อมูล หรือติดต่อธุรกิจกับใครๆได้อย่างสะดวกสบายในสถานที่ที่บริการ Hot Spot แต่ Hot Spot ในบ้านเรายังค่อนข้างใหม่ ทำให้อัตราค่าบริการยังค่อนข้างสูงมากทีเดียว จุดให้บริการก็เริ่มทยอยเปิดกัน ซึ่งในอนาคตอันไกล้นี้ค่าบริการจะก็ถูกลงด้วยสาเหตุจากการแข่งขันด้านราคากันอย่างหลีกไม่พ้น

อุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยี Wi-Fi เช่น คอมพิวเตอร์ Laptops หรือ PDA สามารถรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายไร้สายได้จากจุดบริการที่มีการติดตั้ง Hotspot ก็สามารถใช้บริการอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงได้ทันที ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับ/ ส่งข้อมูลต่างๆ ทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่พลาดโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจ และข่าวสารจากทั่วทุกมุมโลก


รูปแสดงของการให้บริการ Hotspot ทั้งชนิด Wire และ Wireless และ สามารถให้บริการแก่ผู้ใช้ทั้งชนิด PRE-PAID และ POST-PAID


รูปการให้บริการ HOTSPOT บริเวณล๊อบบี้ของโรงแรม

ข้อดีของระบบ WLAN และ Hotspot

o ติดตั้งง่ายทำให้สะดวกและลดภาระการเดินสาย
o ลดความยุ่งยาก และเหมาะกับบริเวณที่มีสถานที่ไม่กว้างนักและไม่เหมาะต่อการเดินสาย สามารถปรับเปลี่ยนหรือขยายได้ตามความเหมาะสมในการใช้งาน
o ติดตั้งง่ายทำให้สะดวกและลดภาระการเดินสาย
o ลดค่าใช้จ่ายด้านการวางเครือข่าย
o ทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้เป็นอย่างดี อาทิ โน้ตบุ๊ค พีซี และพีดีเอ

ประโยชน์ของ Hotspot
o มีความสะดวกสบาย ความคล่องตัวในการใช้งานสูง
o รับส่งอีเมล์ , ดาวน์โหลดข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
o ไม่พลาดโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจ และข่าวสารจากทั่วทุกมุมโลก
o ผู้ใช้สามารถรับ/ ส่งข้อมูลต่างๆ ทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา
o สามรถกำหนดค่าบริการได้ทั้งแบบ PRE-PAID และ แบบ POST-PAID ( จ่ายก่อนใช้งาน) , ซึ่งอาจจะคิดเป็นราคาต่อนาที , ต่อชั่วโมง หรือเหมาจ่ายเป็นรายวันก็ได้ หรือการคิดค่าบริการแบบ POST-PAID คือการเล่นก่อนจ่ายทีหลัง(ซึ่งจะแหมาะสำหรับผู้เช่าพักตามโรงแรม หรือเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์)

เมื่อนำไปใช้กับสถานประกอบการ

o เพิ่มคุณภาพและการบริการที่ดี อาทิเช่น โรงแรม หรือ ร้านคอฟฟี่ชอฟ ทำให้ดึงดูดมีลูกค้ามาใช้บริการมากขึ้น
o มูลค่าของค่าเช่ าเพิ่มขึ้น ทำให้อาคารของคุณได้เปรียบคู่แข่งอื่น ๆ
o เพื่อจูงใจให้ลูกค้ามาใช้บริการมากยิ่งขึ้น เนื่องจากกรให้บริการที่ทันสมัย
o มีรายได้จากการให้บริการ ซึ่งเป็นการช่วยสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นอีกทาง

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หลัก ๔ ประการ พุทธบริษัทที่แท้จริง

พระอริยสงฆ์สาวกที่แท้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ปฏิบัติตัวตามหลัก ๔ ประการ คือ

๑. สุปฏิปันโน เป็นผู้ประพฤติดี ถ้าจะทำอะไรก็มุ่งความดีเป็นที่ตั้ง คือ ทำให้ถูกดี ทำให้ถึงดี ทำให้มีดี ถ้าจะพูดอะไรก็ต้องพูดให้ถูกดี พูดให้ถึงดี พูดให้มีดี หรือถ้าจะคิด ก็คิดในทางดี ทำดี มีเมตตา ไม่คิดร้ายทำลายใคร

๒. อุชุปฎิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติตรงไปตรงมา ไม่หน้าไหว้ หลังหลอก ทำนอง “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก” โดยสรุปก็คือประพฤติปฏิบัติตัวให้ตรงกับศีลธรรม ฐานะ และเพศภาวะของตน

๓. ญายปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติถูกทาง คือปฏิบัติเพื่อมุ่งกำจัดกิเลสให้เบาบาง และหมดไปในที่สุด มิได้ปฏิบัติเพื่อมุ่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่ประการใด

๔. สามีจิปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติเหมาะสมแก่การเข้าใกล้สมควรแก่การกราบไหว้บูชา เป็นที่น่าเชื่อถือ เชื่อมือ เชื่อใจ เพราะได้พัฒนากาย วาจา ใจ ให้สะอาดปราศจากพิษภัย มีชีวิตประเสริฐยิ่งกว่าคนทั่วไป เช่น ชาวโลกอยู่ด้วยความโลภ แต่พระอยู่ด้วยความเสียสละ ชาวโลกอยู่ด้วยความโกรธ แต่พระอยู่ด้วยความเมตตา ชาวโลกอยู่ด้วยความหลง นั่นก็ของเรา นี่ก็ของเรา แต่พระอยู่ด้วยการปล่อยวาง มองสิ่งต่างๆ ล้วนเป็นความว่างไปทั้งสิ้น

หากชาวพุทธมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะประจำใจอย่างนี้แล้ว จะได้ชื่อว่าเป็น “พุทธบริษัทที่แท้จริง”

เนื้อหาแง่คิดจากการอบรมเสริมพลังให้กับการทำงาน

อามิสทาน คืออะไร

การบริจาคหรือการเสียสละทรัพย์สินเงินทองข้าวของ

ตลอดทั้งกำลังกายและสติปัญญาความรู้ความสามารถของตนเอง

เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ด้วยคุณธรรมคือ เมตตา กรุณา มุทิตา พรหมวิหาร

การเสียสละวัตถุสิ่งของหรือสิ่งที่เนื่องกันเช่นกำลังกาย

สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ เป็นต้น เหล่านี้เรียกว่า อามิสทาน

เมื่อเราบริจาคหรือเสียสละไปแล้ว เป็นกุศลคุณความดี มีอานิสงส์หรือมีผลอย่างไร ?

มีผลเกิดขึ้นทั้งในทางจิตใจของเราและมีผลที่เรียกว่าเป็นวิบาก

คือจะมีผลของกรรมนี้ให้บังเกิดผลแก่ตน ถ้าจะว่าถึงคุณความดีคือทานหรือจาคะ

คือการเสียสละเช่นนี้ เมื่อมีการเสียสละไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น

ประการแรกที่เห็นชัดเจนคือ ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีจิตใจกว้างขวาง

เปี่ยมด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา แก่สรรพสัตว์โลกอื่น

คุณธรรมนี้เกิดขึ้นแล้วในใจและมีปกติเป็นผู้มีจิตใจที่ถูกชำระความตระหนี่ เหนียวแน่น

ความเห็นแก่ตัว จำเพาะตัว จำเพาะตน จำเพาะหมู่เหล่าให้หมดสิ้นไป

การให้ธรรมและการให้อภัยเป็นทาน ชื่อว่า ธรรมทานและอภัยทาน

ในพระธรรมบทพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ สพพทานํ ธมมทานํ ชินาติ ธรรมทานชนะการให้ทานอื่นทั้งปวง


อย่างไรจึงเรียกว่า ธรรมทาน ?
ปฏิบัติธรรมเองเพื่อชำระกิเลสออกจากกาย วาจา ใจของตนเอง

ตั้งตนอยู่ในคุณความดี เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น เรียกว่าแจกธรรมะ

ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ที่ดำเนินชีวิตประจำวันพูดแต่คำพูดไม่ดี ทำแต่กรรมที่ไม่ดี

คิดแต่ความคิดที่ไม่ดีมาตลอด ประพฤติปฏิบัติตัวอย่างที่เลวแก่ผู้อื่น

ชื่อว่าแจกอธรรม ธรรมทานต้องปฏิบัติเองเพื่อละชั่ว ทำดี ทำใจให้ใส

เพื่อชำระกิเลสหยาบ กลาง และละเอียดๆ ยิ่งขึ้นไปถึงวิสุทธิ

คือ ความบริสุทธิ์แห่งใจ แล้วจึงจะพบสันติสงบ

และจะถึงนิพพานคือความดับกิเลสไม่มีเหลือ จ

ะถึงนิพพานต้องเป็นลำดับจนถึงที่สุดอย่างถาวรนี่เรียกว่าธรรมทาน

เบื้องต้นเป็นปฐมคือทำความดี ละชั่ว ทำใจให้ใสเองทั้งหมด และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น

แล้วยังให้การแนะนำสั่งสอนอบรมผู้อื่น'

ให้ประพฤติปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามพระธรรม พระวินัย

และสนับสนุนอุปการะแก่ความประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเช่นนั้นของบุคคล

หรือคณะบุคคล ผู้ที่กำลังเพียรประพฤติปฏิบัติธรรม

เพื่อชำระกิเลสแห่งทุกข์นั้นให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

ตรงนี้ก็ยิ่งด้วยธรรมทานไปอีก


อย่างไรเรียก อภัยทาน ?
ก็เมื่อบุคคลเจริญธรรมขึ้นด้วยทานกุศล ศีลกุศล และภาวนากุศล

เพื่อละชั่ว ทำดี ฝึกอบรมจิตใจให้ผ่องใสและอบรมปัญญาให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นเพียงใด

ความเข้าใจ ความซึ้งใจในบาปบุญคุณโทษก็เจริญมากขึ้น

และพรหมวิหารธรรมอันมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็เจริญขึ้นเป็นบุญบารมี

เป็นเมตตาบารมี และ อุเบกขาบารมี อุปบารมี และ ปรมัตถบารมียิ่งขึ้นเพียงนั้น

ความเห็นอกเห็นใจเข้าใจในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของสัตว์โลก

ผู้ยังมีจักษุอันมืดบอดด้วยความหลงผิด จึงคิดผิด พูดผิด ทำผิดๆ

ในเราก็มีมากขึ้น ความรักปรารถนาให้สัตว์โลกเป็นสุข

ด้วยเมตตาพรหมวิหารธรรม และความเวทนาสงสาร

ปรารถนาให้สัตว์โลกให้พ้นจากความทุกข์ด้วยกรุณา พรหมวิหารธรรม

แม้จะถูกกร้าวร้าว ปรามาส ล่วงเกิน และถูกก่อกรรมทำเข็ญแก่ตนมาแล้วมาก

จากทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตเพียงใด ย่อมไม่ติดใจโกรธพยาบาทยิ่งขึ้น

และสามารถอดทน อดกลั้นต่อความก้าวร้าว ปรามาส ล่วงเกิน ความเบียดเบียน

จากสัตว์โลกทั้งหลายผู้ล่วงเกิน และผู้เบียดเบียนโดยรอบทั้งหลายเหล่านั้น

ได้มากขึ้นเพียงนั้น จนถึงวางใจเป็นอุเบกขาไม่ยินดี ยินร้ายได้มั่นคง

นี้ชื่อว่า อภัยทาน จัดเป็นทานอันเยี่ยมยอดไปอีก