วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โลกจาก 2 มุมมอง เมื่อคุณต้องเป็น นายจ้าง - และเป็นลูกจ้าง

เพราะทั้งต้องทำ 2 บทบาทในเวลาเดียวกันก็อยากจะบอกว่า
การเป็นนายจ้าง หรือ การเป็นลูกจ้าง แตกต่างกันแบบไหนอย่างไร
ทั้ง 2 แบบมีทั้งข้อดีข้อเสีย ......

การเป็นลูกจ้าง อาจะต้องกังวลว่าเงินเดือน เดือนนี้จะได้ครบหรือเปล่า จะโดนตัดอะไรบ้าง
งานที่ได้รับมอบหมายมาเสร็จถึงไหนแล้ว เพื่อนร่วมงานก็อาจจะมี แตกก๊ก แตกเหล่า ต้องรักษาน้ำใจกัน
งานจะสำเร็จก็ต้องอาศัย teamwork ลูกจ้างต้องมี EQ ที่ดีเพราะ บางทีแรงกดดันไม่ใช่ที่งาน
แต่เป็นอารมณ์ของนายจ้างแต่ก็ขึ้นว่าเราไปอยู่ในองค์กรแบบไหน
ขอสบายคือยังไงกฏหมายก็บังคับให้นายจ้างต้องจ่ายเงินเดือน มุม ๆ หนึ่งนายจ้างก็เหมือนลูกหนี้เรา
ต้องจากค่าเสียหายทุกเดือน มีรายได้ประจำ

การเป็นนายจ้าง อาจจะดูเหมือนรวยกว่า ศักศรีดูเหมือนสูงกว่า แต่จริง ๆ ต้องคิดเยอะกว่า
เพราะสิ่งที่ทำเป็นเงินของตัวเอง การจ้างใครซักคนก็ต้องให้คุ้มค่าจ้าง ไหนจะต้องดูแลลูกค้า
แม้จะได้สั่งงานลูกน้อง ก็ยังต้องดูแลลูกน้อง ต้องเอาใจใส่ลูกน้องมีมนุษยธรรมกับเขา
ให้เกียรติเขา ทำให้ลูกน้องเชื่อมั่นทุ่มเท ทำงานให้เต็มที่ แต่บางที่ก็ต้องเปลี่ยนบทเมื่อจับได้
ว่าลูกน้องขี้โกง ต้องมีจิตวิทยา ควบคุมกำไร และยังต้องแสดงบทบาทหลายบท จนขาดความเป็น
ตัวเอง เครียด ฯลฯ เสี่ยงขาดทุน แต่ถ้ากำไร และมีลูกน้องดี เชื่อใจได้ ธุรกิจก็อยู่ได้ ขยับขยายก็ได้
มีการเติบโตได้ ธุรกิจที่ทุ่มเทสร้าง เมื่อวันหนึ่งระบบลงตัว มันก็หารายได้กลับมาให้เราได้เป็นกอบเป็นกำ
วันก่อนได้ข้อคิดจากลูกค้าท่านหนึ่งเขาบอกวิธีคิดของเขาว่าเค้าจ้างลูกน้องแพง ๆ เพราะไม่ต้องการให้
ลูกน้องลาออกไปทำทีอื่น เราก็จำได้จากหนังสือพ่อรวยที่เคยอ่านเรื่องกับดักการเงิน วิธีนี้ก็ได้ผลจริง ๆ
นั่นแหละ


ดังนั้นวันนี้เมื่อเป็นลูกจ้าง....ก็คิดว่าเข้าใจมุมมองของนายจ้าง....เห็นใจในแง่มุมเดียวกันที่ประสบมา
สิ่งที่นายจ้างต้องการจากลูกน้องคือ ความซื่อสัตย์ และ การพัฒนาตนเอง เพื่อสร้างผลกำไรให้บริษัท

ส่วนการเป็นนายจ้าง ... สิ่งสำคัญคือ ... มองรูปแบบการลงทุนธุรกิจ .... หาคนเก่ง และ ซื่อสัตย์
มาทำงานให้เรา หัดควบคุมอารมณ์อย่าไประเบิดใส่ลูกน้อง พยายามสร้างธุรกิจ ตามแบบฉบับของตัวเอง
ตามกำลังของตัวเอง หาคนไว้ใจได้ดูแล ไม่เติบโตจนยากจะควบคุม พยามออกไปหาลูกค้าเสมอ
พูดคุยกับลูกค้า แข่งขันกับตัวเองและคู่แข่งเสมอ